
30 สิงหาคม 2568 ดร.ปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ทางการเมือง หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย พยายามช่วงชิงการเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยพบว่า ทั้งสองพรรคได้ตอบรับเงื่อนไขของ พรรคประชาชน (ปชน.) ไม่ว่าจะเป็นการยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน การจัดให้มีการออกเสียงประชามติ และแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อปูทางไปสู่การเป็นรัฐบาล แต่เมื่อเป็นรัฐบาลได้แล้ว ทุกพรรคย่อมต้องการที่จะอยู่ในอำนาจ ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นสิ่งที่เคยรับปากไว้ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เช่นเดียวกันกับที่เคยเกิดขึ้น ต่อกรณีการฉีกบันทึกความเข้าใจ (MOU) เมื่อปี 2566 พรรคก้าวไกลในขณะที่กำลังพยายามจัดตั้งรัฐบาล และเกิดการข้ามขั้วในที่สุด
“การตอบรับเงื่อนไขเหล่านี้ โดยเฉพาะเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเพียงการต่อรองกันทางการเมืองเท่านั้น เพราะรูปธรรมที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดกว่าสองปีที่ผ่านมาคือ มีเพียงพรรคประชาชน ที่เอาจริงเอาจังกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขณะที่พรรคเพื่อไทย ติดอยู่แค่ขั้นตอนของการตีความ และพรรคภูมิใจไทย ก็แทบมองไม่เห็นการขับเคลื่อนเหล่านี้ จึงไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้น เพราะยังไม่เห็นเจตจำนง ที่จะผลักดันร่วมกันโดยถ้วนหน้าจากทุกฝ่ายทางการเมือง”
ดร.ปุรวิชญ์ กล่าวต่อไป รัฐบาลที่กำลังจะเกิดขึ้นจะมีอายุสั้นมาก เนื่องจากเสถียรภาพทางการเมือง เสียงมีความกระจัดกระจาย ไม่ว่าขั้วไหน ก็คงไม่สามารถคุมเสียงได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ถึงแม้ว่าระยะเวลาจะสั้น แต่ก็เพียงพอที่จะเข้าควบคุมกลไกรัฐได้ทั้งหมด จึงเป็นผลดีต่อการเลือกตั้งในอนาคต ไม่ว่าพรรคไหนก็อยากเลือกตั้ง ตอนที่ตัวเองอยู่ในอำนาจ
“สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ทั้งเพื่อไทยและภูมิใจไทย หวังจะออกนโยบายลดแลกแจกแถม เพื่อนำไปสู่การหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งถัดไป เพราะรู้ว่าอายุรัฐบาลใหม่เหลือไม่มาก ส่วนตัวคิดว่ากว่าที่รัฐบาลใหม่จะเข้าทำงาน ได้ก็คงเป็นช่วงปลายเดือน ก.ย. หรือ ต้นเดือน ต.ค. นี้ ซึ่งทันพอดีกับการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2569 และหลังจากนั้นจะเป็นช่วงเวลาของการเบิกจ่าย ทำผลงานสร้างคะแนนนิยมกันอย่างแน่นอน”
ดร.ปุรวิชญ์ กล่าวอีกว่า หากเกิดการยุบสภาขึ้นในเวลานี้ ผู้ที่บาดเจ็บหนักที่สุดคือพรรคเพื่อไทย เพราะนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ได้ทำให้ความไว้วางใจของประชาชนสูญสิ้น และโพลคะแนนความนิยมของรัฐบาลก็ตกต่ำเป็นประวัติการณ์ ยังไม่นับว่า นโยบายเรือธงจำนวนมาก ก็ไม่ประสบความสำเร็จได้อย่างที่ให้ความหวังไว้
สำหรับข้อถกเถียงเรื่องอำนาจของ นายภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี จะมีอำนาจในการยุบสภาหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่าไม่สามารถยุบได้ เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ให้นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำให้พระมหากษัตริย์ ทรงตราพระราชกฤษฎีกายุบสภา ซึ่งตอนนี้เราไม่มีนายกฯ แต่มีผู้ปฎิบัติหน้าที่แทนนายกฯ
คำถามแบบหลักรัฐศาสตร์เบื้องต้นเลยก็คือ คำว่านายกรัฐมนตรีกับผู้ปฎิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี มีอำนาจเทียบเท่ากันหรือไม่ มากไปกว่านั้นคือ ยังไม่เคยมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน ที่รักษาการนายกฯ จะมาดำเนินการยุบสภา และเมื่อสืบค้นต่อไปว่า เคยมีประเทศไหนในโลกหรือไม่ ที่เป็นประชาธิปไตยแบบรัฐสภา และมีรักษาการนายกฯ ยุบสภาในช่วงการเมืองอยู่ในสภาวะสุญญากาศ ก็ยังค้นไม่เจอ
นักวิชาการธรรมศาสตร์ ยังกล่าวต่อไปอีกว่า กลไกที่ฝังเอาไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ได้เปิดช่องให้เกิดสิ่งที่เรียกว่านิติสงคราม เพื่อใช้กฎหมายเล่นงานฝ่ายตรงข้าม หนึ่งในนั้นคือความผิดเรื่องการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ที่ตีความได้กว้างขวาง และส่วนตัวกล้ายืนยันว่า น.ส.แพทองธาร จะไม่ใช่รายสุดท้ายที่โดน แต่จะมีเพิ่มเข้ามาอีก เพราะได้เล็งเห็นถึงอิทธิฤทธิ์ของความผิดฐานนี้แล้วว่า สามารถทำให้นายกรัฐมนตรีต้องหลุดออกจากตำแหน่งได้ง่ายๆ ถึงสองคน และนี่คือหนึ่งในตัวอย่างที่รัฐธรรมนูญปี 2560 ได้ออกแบบไว้ ซึ่งทำให้ศักยภาพทางการเมืองของสังคมไทย เกิดความไม่แข็งแรง จนทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่มีเสถียรภาพเพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาระยะยาวให้กับประเทศได้