
22 สิงหาคม 2568 ศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 1860/2567 ซึ่งพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จากกรณีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้เมื่อเดือน พ.ค.2558 โดยศาลกำหนดอ่านคำพิพากษาในวันนี้ เวลา 10.00 น.
ต่อมา เวลา 09.19 น. ทักษิณ เดินทางถึงศาลอาญา ด้วยรถโรลส์รอยซ์ ทะเบียน ฐฐ 267 และเข้าประตูข้างศาลอาญา ฝั่งธนทคารกรุงไทย
โดยมีทนายวิญญัติ ไปรอรับ ซึ่งคุณทักษิณ มีสีหน้ายิ้มแย้ม และโบกมือทักทายสื่อมวลชนและคนเสื้อแดง โดยวันนี่คุณทักษิณ สวมใส่สูทและเนคไท สีเหลือง
ซึ่งนายทักษิณ จำเลยให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว
คดีนี้ศาลอาญาได้สืบพยานฝ่ายโจทก์ - จำเลย จนแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา ฝ่ายนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความนายทักษิณ จำเลย ได้นำพยานจำเลยเข้าสืบหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ รวม 3 ปาก คือนายทักษิณ ชินวัตร นายวิษณุ เครืองาม อดีต รองนายกรัฐมนตรี และนายธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดกระทวงยุติธรรมเข้าเบิกความ โดยนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความมั่นใจในพยานหลักฐานที่นำมาหักล้างและหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรม
ขณะที่เมื่อช่วงเย็นวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมาตำรวจศาลและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำศาล ได้นำแผงเหล็กมากั้นเป็นรั้วบริเวณทางขึ้นด้านหน้าอาคารศาลอาญา โดยจะมีการกำหนดพื้นที่ทางเข้า-ออก และมีตำรวจศาล ตำรวจสน.พหลโยธิน มาดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยอย่างเข้มงวดในช่วงเช้า
ขณะเดียวกันศาลอาญาได้กำหนดจุดไว้เฉพาะสำหรับสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวและถ่ายภาพ โดยสื่อที่เป็นช่างภาพต้องเขียนใบขออนุญาตและติดบัตรสื่อชั่วคราวของศาลอาญาด้วย จะไม่อนุญาตให้ไปจุดอื่นเกินกว่าที่ศาลจัดไว้
ทั้งนี้จะมี จนท.ศาลอาญาไปแจ้งให้ปฏิบัติตามข้อกำหนด รวมทั้งไม่ให้อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าฟังในห้องพิจารณาคดี
นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาคดี ม.112 ของนายทักษิณ โดยยืนยันว่า นายทักษิณจะเข้ารับฟังคำพิพากษาด้วยตนเอง เนื่องจากเป็นหน้าที่ของจำเลยในคดีอาญาที่ต้องเข้าฟังคำพิพากษา และมีสัญญาประกันอยู่ เป็นหลักการที่บังคับให้ท่านต้องมาฟังด้วยตนเองอยู่แล้ว ซึ่งตัวท่านเองก็ประสงค์ที่จะเข้ามาร่วมในการพิจารณาคดีทุกนัดอยู่แล้ว
ส่วนความมั่นใจในการนำพยานเข้าต่อสู้ในชั้นศาลนั้น นายวิญญญัติ กล่าวว่า ความตั้งใจมีอยู่แล้วตั้งแต่ต้น แต่ความมั่นใจเรื่องผลคดีจะเป็นอย่างไรขออนุญาตยังไม่ตอบ เพราะขอให้รอคำวินิจฉัยของศาลก่อน ซึ่งหลังจากที่ตนรับทำคดีนี้และเห็นพยานหลักฐานตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน มีความชัดเจน และในการสืบพยานโจทก์สามนัด ก็ยิ่งชัดเจนว่าเรามาถูกทางแล้ว เพราะการต่อสู้คดีอาญาต้องดูพยานหลักฐานของโจทก์ และผู้กล่าวหาเป็นหลัก รวมถึงดูเจตนาของจำเลยด้วย และพยานหลักฐานที่เราได้นำขึ้นพิสูจน์ต่อศาลตั้งแต่ต้น ซึ่งนายทักษิณก็ยืนยันแล้วว่าไม่ได้เจตนา
สำหรับพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์นั้น ตนเองจะขอเปิดเผยในรายละเอียดหลังจากฟังคำพิพากษาแล้ว ถ้าหากมีเวลาหรืออาจจะพูดผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่ง ซึ่งไม่สะดวกพูดในรูปแบบของรายการ ว่าการต่อสู้ในคดีนี้มีอย่างไรบ้าง ก็จะนำมาเปิดเผยให้ประชาชนทราบในกรอบที่สามารถทำได้
“ท่านทักษิณพูดเสมอมาว่า ท่านเป็นอดีตนายก ฯ เป็นผู้ที่มีความสำนึกต่อความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพสกนิกรในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว ความจงรักภักดีของท่านมีอย่างชัดเจน และประจักษ์ชัด เหตุดังกล่าวนี้ท่านก็บอกแล้วว่า ไม่ได้มาจากคำพูดของท่านอย่างถูกต้อง และท่านเชื่อว่าเป็นการตัดต่อ ซึ่งเราก็พยายามพิสูจน์ แต่เมื่อจำเลยปฏิเสธโจทก์ก็ต้องพิสูจน์ว่าไม่ใช่การตัดต่ออย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะทำได้หรือไม่ได้” นายวิญญัติ กล่าว
นายวิญญัติ กล่าวต่อว่า ในคดีนี้ฝ่ายโจทก์สืบพยาน 10 ปาก และฝ่ายจำเลยสืบพยาน 3 ปาก โดยหลักฐานที่ฝ่ายจำเลยนำขึ้นพิสูจน์นั้น จะเป็นเรื่องของตัวบุคคลเป็นหลักรวมถึงข้อเท็จจริงในอดีต ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่สร้างขึ้น เชื่อว่าเมื่อศาลเห็นก็จะสามารถหยิบไปประกอบคำวินิจฉัยได้ แต่การจะนำมาพูดและจะดีหรือไม่ดีตรงหรือไม่ตรง ต้องขออนุญาตยังไม่พูด ต้องรอฟังคำพิพากษาก่อน
นายวิญญัติ ระบุอีกว่า หลังจากได้พูดคุยกับนายทักษิณเมื่อวานตอนเย็นท่านก็ปกติ และบอกพรุ่งนี้เจอกัน โดยจะมาถึงในเวลา 09:30 น. พร้อมยืนยันว่า ไม่ว่าผลพิพากษาจะออกมาเป็นอย่างไร เราก็พร้อมน้อมรับ แต่ถ้าหากออกมาเป็นทางบวก ก็จะออกมาเปิดเผยรายละเอียดการต่อสู้ทางคดีให้รับทราบ
นายวิญญัติ กล่าวทิ้งท้ายว่า การนำเสนอข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เทียบกับกรณีของนายทักษิณที่ถูกนำคลิปมา เมื่อเสนอข่าวสารไปแล้วผิดถูกตอนแรกยังไม่มีใครพิสูจน์ความจริง ดังนั้นการขยายให้เกิดความเข้าใจผิดหรือการบิดเบือนเป็นเรื่องที่สังคมควรจะระมัดระวัง ไม่ได้พูดถึงเพียงสื่อมวลชนเท่านั้น แต่ทุกคนควรที่จะระมัดระวังเพราะเป็นเรื่องที่อันตรายมาก และพวกท่านก็อาจจะถูกดำเนินคดีด้วย
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งวันนี้เดินทางมาให้กำลังใจ ให้สัมภาษณ์ว่า ต้องรอฟังศาลว่าวินิจฉัยอย่างไร แต่ส่วนตัวเชื่อว่าท่านมีความจงรักภักดี เทิดทูนสถาบัน สวนศาลจะวินิจฉัยอย่างไรต้องรอฟังซึ่งเราเคารพในกระบวนการของศาล
เมื่อถามย้ำว่าคำตัดสินคดีนี้จะเป็นไปในเชิงบวกใช่หรือไม่ นายสมชาย ระบุว่า จากที่ตนใกล้ชิดนายทักษิณพอสมควร เห็นว่าท่านเป็นคนที่จงรักภักดีและ เทิดทูลสถาบันสถาบันอย่างยิ่ง ส่วนศาลจะตัดสินอย่างไรต้องรอฟัง เราไม่สามารถไปก้าวล่วงได้
ส่วนมีความกังวลเกี่ยวกับคดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจหรือไม่ นายสมชาย ระบุว่า เรื่องดังกล่าวนี้ท่านก็ทำตามขั้นตอน เมื่อผ่านกระบวนการของศาล ก็เข้าสู่กระบวนการรับโทษ ซึ่งเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ว่าจะดำเนินการอย่างไร และหากศาลจะพิจารณาอย่างไรเราก็เคารพ เพราะถือว่าเป็นกระบวนการยุติธรรม แต่ส่วนตัวไม่สามารถออกความผิดได้
เมื่อถามว่ามีความเป็นห่วงในคดีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีด้วยหรือไม่ ที่จะมีการนัดคำพิพากษาในวันที่ 29 สิงหาคม นายสมชาย ระบุว่า อย่างที่ตนเคยบอก นางสาวแพทองธาร ทำเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชน การรักษาอธิปไตยของคนไทยทุกคนรวมถึงตัวท่านด้วย
ในฐานะผู้นำประเทศต้องรักษาเต็มที่อยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเสียดินแดน เพราะทหารดูแลอยู่ แต่เมื่อเกิดเรื่องมาแล้วก็ต้องดำเนินการตามกฎกระบวนการที่กฎหมายตราไว้ พร้อมย้ำว่าหากศาลว่าอย่างไรก็ต้องเป็นไปตาม
ทั้งนี้มีรายงานว่า ศาลจะใช้เวลาในการอ่านคำพิพากษาประมาณ 2 ชั่วโมง