
31 กรกฎาคม 2568 ประเด็น “เชลยศึก” หรือ “ทหารกัมพูชาตกค้าง” ซึ่งทยอยยอมจำนน ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค.เป็นต้นมา จากวันแรก 18 คน จนถึงวันนี้ 20 คนแล้วนั้น กำลังมีประเด็นดราม่าว่า มีการกดดันจากรัฐบาลให้กองทัพปล่อยตัว หรือส่งตัวกลับหรือไม่
เรื่องนี้มีเงื่อนแง่ทางกฎหมายระหว่างประเทศที่ต้องระมัดระวัง และทำความเข้าใจ
พลเอก กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ อดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ ซึ่งเชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศ อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ แบบนี้
1. ทหารกัมพูชาที่ยอมจำนน และถูกควบคุมตัว มีสถานะเป็น “เชลยศึก” ตามอนุสัญญาเจนีวา ในข้อกำหนดเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเชลยศึก ลงวันที่ 12 ส.ค.1992
2. ในอนุสัญญาฯ มีการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ ในการดูแลเชลยศึกระหว่างถูกควบคุมตัว เท่าที่สำคัญมีอยู่กว่า 10 ข้อ
3. ประเด็นสำคัญในมาตรฐานขั้นต่ำ และถกเถียงกันอยู่คือ เชลยศึกจะต้องได้รับการปล่อยตัวกลับภูมิลำเนาประเทศตัวเอง เมื่อสภาวะการขัดกันด้วยอาวุธ (การรบ) สิ้นสุดลง
พลเอกกฤษณะ มองว่า เรื่องนี้มีปัญหาอยู่ 2 ประการ คือ
- การที่กองทัพหรือรัฐบาล ไม่ให้เรียกทหารกลุ่มนี้ว่า “เชลยศึก” ทั้งๆ ที่ประเทศไทยดูแลทหารกัมพูชาสูงกว่ามาตรฐาน ที่อนุสัญญากำหนดเสียอีก จึงไม่มีความจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการเรียกว่า “เชลยศึก”
เรื่่องนี้กลายเป็นความเสี่ยง เพราะการเรียกชื่ออื่นอาจส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมตัวทหารเหล่านี้ไว้ได้ เช่น จะต้องปล่อยตัวกลับประเทศตนเอง หรือผลักดันออกนอกประเทศ ในข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งหากผลักดันออกไป ย่อมมีโอกาสสูงมากที่ทหารเหล่านี้ จะจับอาวุธกลับมาสู้รบเป็นอันตรายร้ายแรงต่อประเทศไทยอีก
ยิ่งไปกว่านั้น อาจทำให้ประเทศไทยถูกกล่าวหาว่า เลี่ยงใช้คำว่า “เชลยศึก” เพื่อหลีกเลี่ยงพันธกรณีตามอนุสัญญาเจนีวา หรือไม่ แม้ประเทศไทยจะปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ อย่างเคร่งครัด หรือดีกว่ามาตรฐานขั้นต่ำก็ตาม (เพราะต้องไม่ลืมว่า กัมพูชาบิดเบือนได้ทุกเรื่อง อาจบิดเรื่องนี้อีกก็เป็นได้)
- การปล่อยตัวหรือผลักดัน “เชลยศึก” เหล่านี้ออกนอกประเทศเร็วเกินไป อาจส่งผลเสียต่อประเทศไทยอย่างมาก เช่น ประเทศไทยจะไม่มีตัวเชลยศึกกัมพูชา ไปแลกเปลี่ยนเชลยศึกไทยได้ หากต่อไปมีทหารไทยพลาดพลั้งถูกควบคุมตัวจากฝ่ายกัมพูชา