
28 กรกฎาคม 2568 ภายหลังการเจรจาหยุดยิงสองฝ่าย ไทย-กัมพูชา โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานหมุนเวียนของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน เป็นคนกลางในการเจรจา ในวันนี้นั้น
แหล่งข่าวเป็นอดีตหัวหน้าหน่วยงานด้านความมั่นคงระดับประเทศ ซึ่งมีบทบาทสูงมากในงานความมั่นคงของไทย ประเมินและวิเคราะห์ ดังนี้
1.ความตกลงมาจากความกังวลเรื่องข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ เป็นด้านหลัก เพราะสหรัฐฯยกประเด็นนี้ขึ้นมากดดัน
2.เป็นความตกลงโดยไม่มีเงื่อนไข หมายความว่า กำลังของแต่ละฝ่ายจะคงอยู่ ณ จุดที่ตั้งกองกำลังปัจจุบัน
ดังนั้นจึงมีโอกาสเกิดการปะทะกันได้อีก หากการเจรจาระหว่างทหารทั้ง 2 ฝ่ายในวันพรุ่งนี้ กับการประชุม GBC ในวันที่ 4 ส.ค.68 ไม่ได้ข้อยุติ
3.ตั้งแต่ช่วงเย็นไปจนถึงเที่ยงคืน ฝ่ายกัมพูชาได้ทุ่มกำลังเร่งเข้ายึดพื้นที่คืนให้ได้มากที่สุด ซึ่งฝ่ายไทยจะต้องพยายามรักษาพื้นที่อย่างเต็มที่
4.หากสมมุติฐานที่ว่า การหยุดยิงเป็นเพราะกังวลกับคำขู่ของสหรัฐฯ เรื่องการทำข้อตกลงการค้า ถ้าสุดท้ายสหรัฐฯ ไม่ได้ลดภาษีให้ตามที่คาดหวัง จะเกิดคำถามว่า การหยุดยิงที่ไทยไปตกลงด้วย เท่ากับถูกละเมิดหรือไม่
5.ผลจากข้อ 4 มีความเสี่ยงที่กัมพูชาอาจฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์และกล่าวหาว่าไทยเริ่มก่อน จนสถานการณ์กลับมาบานปลายได้อีก
1.ตั้งแต่ห้วงเวลาปัจจุบัน จนถึงเที่ยงคืน กำลังทหารไทยต้องเพิ่มความระมัดระวังอย่างเต็มที่เพื่อรักษาพื้นที่และป้องกันการโจมตีจากกัมพูชาที่เกิดขึ้นแล้ว และอาจขยายวงเพื่อเร่งเครื่องรอบสุดท้าย ชิงความได้เปรียบ และลดความเสียเปรียบ
2.ฝ่ายทหารกับรัฐบาลต้องเร่งประชุมกำหนดท่าทีและจุดยืนร่วมกัน เพื่อเตรียมการประชุมทหารในวันพรุ่งนี้ และ การประชุม GBC ในวันที่ 4 ส.ค.68 โดยตั้งแต่ช่วงเย็น ฝ่ายทหารได้จัดประชุมกันแล้ว
3.ประเด็นการพูดคุยเจรจา จะต้องไม่กระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน และต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เพื่อลดข้อครหาและคำถามจากสังคม
4.จำเป็นต้องเฝ้าระวังและตรวจสอบการเสริมและหรือการปรับเปลี่ยนกำลังของฝ่ายกัมพูชาอย่างใกล้ชิด
5.การหยุดยิงครั้งนี้ ไม่ได้ลดความเสี่ยงที่สถานการณ์จะกลับมาตึงเครียดได้อีก
ดังนั้นการสร้างความเข้มแข็ง สร้างขวัญกำลังใจให้กองกำลังฝ่ายไทืยจึงเป็นเรื่องจำเป็น เช่นเดียวกับการเตรียมความพร้อมด้านการรักษา เสริมสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่ประชาชน ยังมีความสำคัญมาก ยังจำเป็นต้องคงการใช้กฎอัยการศึกตามพื้นที่ปัจจุบันไว้ต่อไป
6.ช่วงเดือน ก.ย.ถึง ต.ค.68 จะมีการเกษียณอายุราชการ และหรือการสับเปลี่ยนหน้าที่ของกำลังพล อาจเป็นจุดอ่อนเปิดโอกาสให้ฝ่ายกัมพูชาฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ในช่วงดังกล่าวได้
7.ในด้านบรรยากาศทางการเมือง ช่วงตั้งแต่ต้นเดือน ส.ค.68 เป็นต้นไป กระบวนการยุติธรรมอาจมีคำตัดสินคดีสำคัญของฝ่ายการเมืองหลายคดี
หากคำตัดสินไม่เป็นคุณกับฝ่ายการเมือง ช่วงเวลาดังกล่าวอาจกลายเป็นช่วงเวลาที่เกิดสุญญากาศทางการเมืองได้
มีความจำเป็นที่ข้าราชการประจำในฝ่ายความมั่นคง จะต้องทำหน้าที่รักษาเสถียรภาพเอาไว้ให้ได้เพราะหากสุญญากาศเกิดขึ้น จะเปิดจุดอ่อนให้ฝ่ายกัมพูชาสามารถดำเนินการทางทหารเพื่อยึดคืนพื้นที่ได้เช่นกัน