
16 กรกฎาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเอกฉันท์ 375 เสียง ซึ่งเป็นเสียงจากพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคการเมืองฝ่ายค้านบางพรรค และงดออกเสียง 80 เสียงซึ่งเป็นเสียงจากพรรคภูมิใจไทย เพื่อยืนยันร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ฉบับการปรับแก้ของสภาผู้แทนราษฎร ภายหลังวุฒิสภา ไม่เห็นด้วยกับการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในการปรับแก้เงื่อนไขเสียงการผ่านการให้ความเห็นชอบในการออกเสียงประชามติ แก้ไขรัฐธรรมนูญที่ให้ใช้เสียงข้างมากเพียงชั้นเดียว ซึ่งวุฒิสภา ได้มีการปรับแก้กลับไปให้ใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น หรือ Double Majority แต่สภาผู้แทนราษฎร ไม่เห็นด้วย และปรับแก้ให้กลับมาใช้เสียงข้างมากเพียงชั้นเดียว ทำให้ต้องชะลอการพิจารณาลงมติ 180 วัน ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้ สภาผู้แทนราษฎร จะส่งร่างกฎหมายฉบับที่ปรับแก้โดยสภาผู้แทนราษฎร ที่ให้การออกเสียงประชามติ ใช้เสียงข้างมากเพียงชั้นเดียว กลับไปให้นายกรัฐมนตรี เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ตามขั้นตอนต่อไป
นางสาวแนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า พรรคภูมิใจไทยพูดชัดเจนตั้งแต่วาระแรก และในการพิจารณาลงมติทุกครั้งว่า พรรคภูมิใจไทย เห็นด้วยกับการออกเสียงประชามติ แต่การใช้เสียงข้างมากเพียงชั้นเดียวในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่คำนึงถึงจำนวนผู้ที่ออกมาใช้สิทธิทั้งหมด จึงกังวลต่อการออกเสียงประชามติ ที่จะใช้เสียจำนวนเท่าใดก็ได้ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการออกความคิดเห็น ซึ่งหากในอนาคต ต้องมีการออกเสียงประชามติที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ และถ้าใช้เสียงข้างมากเพียงชั้นเดียวนั้น จะมั่นใจได้อย่างไรว่า จะมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงเกินจำนวน ดังนั้น จึงควรจะเป็นเสียงข้างมาก ที่อย่างน้อยมีผู้ออกมาใช้สิทธิเกินครึ่งหนึ่ง
นางสาวแนน ยังระบุว่า พรรคภูมิใจไทย จะเห็นด้วยก็ไม่ได้ หรือจะไม่เห็นด้วยก็ไม่ได้ เพราะพรรคอยู่ตรงกลางความก้ำกึ่งของของร่างกฎหมายฉบับนี้ และอยากให้ร่างพระราชบัญญัติประชามติผ่านการพิจารณา แต่อยากให้ผ่านการพิจารณาด้วยความรอบคอบ ด้วยเนื้อหาที่กลั่นกรองและนับจำนวนคนผู้มาออกเสียงผู้มาใช้สิทธิที่มาใช้สิทธิลงคะแนนเกินครึ่งหนึ่งในการลงประชามติในเรื่องนั้น ๆ
ขณะที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้เสนอยกร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ซึ่งถูกยับยั้งไว้ ระบุว่า ร่างกฎหมายที่มีอยู่นั้น เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะมีกติการะบบเสียงข้างมากสองชั้น และการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เป็นนโยบายที่ทุกพรรคการเมืองใช้หาเสียง ซึ่งได้มีการเสนอญัตติเพื่อแก้ไขพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติจากทั้งคณะรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชน เพื่อแก้ไขสาระสำคัญเปลี่ยนการทำประชามติเป็นเสียงข้างมากชั้นเดียว แม้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้การทำประชามติผ่านไปอย่างง่ายหรือพิเศษใด ๆ แต่จะเป็นกติกาที่จะสร้างความชอบธรรมมากยิ่งขึ้น และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีการกำหนดว่า การทำประชามติต้องใช้เสียงข้างมากกี่ชั้น ทำให้ต้องย้อนไปดูรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันถึงกติกาการออกเสียงประชามติ ซึ่งไม่ควรใช้หลักเกณฑ์ที่ต่างกัน ไม่ควรทำให้ง่าย หรือยากขึ้น ดังนั้น ตนจึงขอให้ลงมติยืนหยัด ตามที่สภาผู้แทนราษฎรเคยให้ความเห็นชอบไปแล้ว เพื่อปลดล็อกกติกาการออกเสียงประชามติให้เป็นเสียงข้างมากชั้นเดียว และจะได้เดินหน้าสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป