
2 กรกฎาคม 2568 รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว รองคณบดี คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวกับ เนชั่นทีวี ว่า แม้ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว แต่ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อภาพรวมรัฐบาลที่ยังเดินไปได้ต่อ
ผมดูภูมิทัศน์ทางการเมือง ประกอบด้วยการคงอยู่ "ตระกูลชินวัตร" กับการเมืองไทย บรรดา "ชนชั้นนำ" ยังสมประโยชน์กันอยู่ เห็น "กลุ่มทุน" ยังโอบกอดรัฐบาลชุดนี้ไว้อย่างเหนียวแน่น
เห็นหรือไม่ กองทัพ มีโควต้าพิเศษ แม้ไม่มีรัฐมนตรีแต่เว้นว่างไว้ให้ แสดงว่าทุกคนสมประโยชน์กันอยู่ พอสมประโยชน์กันอยู่ โอกาสที่ชินวัตร และเพื่อไทยสามารถไปต่อได้ ไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน แต่สะท้อนให้เห็นว่า บรรดาชนชั้นนำไม่มีตัวเลือก
“ถ้าดีลมีจริง แสดงว่า คนที่ทำดีลกับคุณทักษิณ โง่ไม่ปราณีใคร โง่ไม่เกรงใจใครเลย เป็นเช่นนั้นไม่มีตัวเลือก ต้องให้ชินวัตร ครองประเทศต่อไป เพราะเขาโง่เอง" รศ.ดร.โอฬาร กล่าว
รศ.ดร.โอฬาร เผยต่อว่า ถ้าดีลมีจริง 1.ชนชั้นนำโง่มากที่เลือกดีลกับชินวัตร 2.เห็นเอกภาพกลุ่มทุน ที่ยังใช้บริการเพื่อไทย 3.เห็นโควต้าพิเศษ ในกลาโหม
นักวิชาการท่านนี้ จับอาการการไปต่อของรัฐบาล เพราะถ้าเขาไปไม่ไหวไม่รอด คนเหล่านี้ถอนตัวออกก่อน แต่เราไม่เห็นการถอนตัว เห็นการเดินหน้าเข้าใส่ แสดงว่าเขาพึ่งพาชินวัตร แม้ไม่มี แพทองธาร แต่ยังมีชัยเกษม นิติสิริ
ไม่ว่าสังคมจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรเกี่ยวกับระยะเวลาของท่านนี้ ประการหนึ่งเพื่อรักษาอำนาจ เขาต้องทำนโยบายประชานิยมเต็มที่ งบ 1.5 แสนหมื่นล้าน จะต้องขับเคลื่อนชุมชนท้องถิ่นจังหวัดต่างๆ เพื่อกระจายทรัพยากรให้บรรดานักเลือกตั้งประจำจังหวัดเข้าไปทำโครงการ เพื่อสะสมเตรียมความพร้อมไปสู่การเลือกตั้ง
อีกประการ เห็นบรรดาชนชั้นนำ อยากให้ชินวัตร พรรคเพื่อไทย กดดันดีเอสไอ ในคดีฮั้ว สว.เพื่อการดำเนินการต่อพรรคภูมิใจไทย
"จับจังหวะนรก ใครชิงปิดเกมก่อนชนะ" เมื่อถามว่า โอกาสที่ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะเข้ามาชิงตำแหน่งนายกฯ ได้หรือไม่
รศ.ดร.โอฬาร กล่าวว่า ก็เป็นได้ แต่ต้องล้มชินวัตรให้ได้ ก็คือตอนนี้มันอยู่ที่จังหวะนรกทางการเมือง เพียงแต่ถ้าบรรดากลุ่มทุนเห็นว่า ชินวัตร มีความจำเป็น เขาจะอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่ถ้าเห็นว่า ชินวัตร กำลังหลอกและหักหลัง เขาก็จะไฮแจ๊ค สส.เพื่อไทย เพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่
โดยมีพรรคเพื่อไทย เป็นงูเห่าให้ ขึ้นอยู่กับว่าตอนนี้ใครจะเร็วกว่ากัน และฝ่ายอนุรักษ์นิยมเริ่มรู้สึกว่า ไม่สามารถใช้บริการ ชินวัตรและเพื่อไทยได้ กระบวนการนิติสงครามต้องขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วเพื่อปิดเกมชินวัตร แล้วทำให้บรรดา สส.เพื่อไทย ที่ไม่มีใครยอมไปกับชินวัตร ในที่สุดก็ขายตัวให้พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่
“อย่างที่ผมประเมิน สิ่งที่แพทองธารเจอ คือ วิกฤตความชอบธรรมทางการเมือง ถึงแม้ว่ารัฐบาลพยายาม บอกว่า ตัวเองมีเสียงข้างมากอยู่ ปรับ ครม.แล้ว เพื่อกระชับอำนาจ แต่วิกฤติความชอบธรรมทางการเมือง เป็นเรื่องของหลักการในทางรัฐศาสตร์ เพราะถ้าไปต่อได้จะทำให้รู้สึกว่า ทำให้หลักการบางอย่างเสียหาย
ที่สำคัญช่วยลดอุณหภูมิการเมืองของกลุ่มชุมนุมทางการเมือง หรือกระแสสังคมที่กดดัน เพราะว่าแม้สิ่งที่แพทองธารพูด มีเจตนาในการรักษาผลประโยชน์ชาติ แต่วิธีการสื่อสารทำให้เห็นว่าเอาผลประโยชน์ตนเองไปแลกด้วย”
ชี้เปรี้ยง ความขัดแย้งมาถึงจุดแตกหักทางการเมือง เมื่อถามว่า จับสังเกตจังหวะนรกอย่างไร
รศ.ดร.โอฬาร กล่าวว่า จังหวะนรกในความหมายของตน ใครเร็วกว่ากันในเกมนี้ คนนั้นชนะ มองว่า ความขัดแย้งทางการเมืองตอนนี้ มาถึงจุดแตกหักกันแล้ว ภายใต้โครงสร้างอำนาจสองข้างต่างขั้ว ถ้าฝั่งอนุรักษ์นิยมเร็วกว่า ก็ใช้กระบวนการที่มีอยู่ ปิดจบตระกูลชินวัตร และย่อยสลายพรรคเพื่อไทย พร้อมๆดำเนินการกับ 44 สส.พรรคประชาชนในระยะเวลานี้ อาจมีตัวแทนที่เป็นนายกฯของฝั่งอนุรักษ์ ประคับประคองรัฐบาลต่อไป จนได้เวลาที่เห็นแล้วว่า สส.เพื่อไทยโดนซื้อไปครึ่งหนึ่งแล้ว สส.พรรคประชาชนอยู่ในภาวะถดถอย ได้จังหวะปั๊บก็ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ตั้งรัฐบาลที่ไม่มีตระกูลชินวัตร หรือว่า ไม่มี สส.เพื่อไทย อาจเป็น สส.ที่ย้ายมาอยู่ หรือเหลือ สส.เพื่อไทย ที่ไม่มีชินวัตร
ในขณะเดียวกันฝั่งชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ถ้าอยากจะต่อสู้ฝั่งอนุรักษ์นิยม ในเมื่อความขัดแย้งแตกหักแล้ว ตอนนี้ก็ต้องรักษาน้ำใจพันธมิตร ซึ่งเราเห็นได้จาก ท่าทีพรรคประชาชน ที่ไม่ตรวจสอบอะไรเลย ซึ่งสังคมก็คลางแคลงใจอยู่ ก็เข้าใจได้เป็นการรักษาน้ำใจเอาไว้
เพราะถึงจุดหนึ่ง ชินวัตร เลือกยุบสภา แล้วจัดตั้งรัฐบาลพร้อมกับพรรคประชาชน แล้วเสนอนโยบายแบบถอนรากถอนโคลน ก็เป็นโอกาสเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลานี้ใครลงมือปฏิบัติการก่อน คนนั้นชนะในเกมนั้น
ส่วนที่แจกเก้าอี้ รัฐมนตรีพรรคร่วมฯเป็นสัญญาณสู้ต่อ
รศ.ดร.โอฬาร กล่าวว่า ซึ่งการที่ แพทองธาร ไม่อยู่ยิ่งดี แรงเสียดทานกดดันจะน้อย และระยะเวลานี้ ถ้ามีแคนดิเดตนายกฯของเพื่อไทยก็ยื้อเวลาเพื่อกระจายผลประโยชน์ การปรับ ครม. ชัดเจนเปิดทางให้บ้านใหญ่ทางการเมือง นักเลือกตั้งประจำจังหวัด เข้ามามีบทบาท แล้วจะมีเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาท ที่ผ่านโครงการประชานิยมลงไปอีก นั่นคือ การเตรียมความพร้อม แสดงว่าเขาต้องการรักษาอำนาจผ่านการเลือกตั้ง
“โจทย์ใหญ่ใจความ พรรคเพื่อไทยจะกล้าจับมือกับพรรคประชาชนหรือไม่ ถ้ากล้าจับมือ เกมนี้ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมพ่ายแพ้ราบคาบ ถ้าเกิดอนุรักษ์นิยมเริ่มรู้สึกว่า ชินวัตร ไม่มีความจำเป็นกับสมการหรือหน้ากระดานการเมืองก็ต้องรีบชิงปฏิบัติการก่อน ถามว่าถ้าชินวัตร โดนจัดการหมด พรรคเพื่อไทย สส.จะจงรักภักดีชินวัตรหรือไม่ ตนว่า ไม่" รศ.ดร.โอฬาร กล่าว
ท่าทีพรรคประชาชนแปลกๆหวังรักษาน้ำใจเพื่อไทยร่วมมืออนาคต
รศ.ดร.โอฬาร กล่าวว่า ตอนนี้พรรคประชาชน วางหลักการ คือ ยุบสภา เข้าใจได้ว่า โอกาสกระแสเขาชนะมีสูง แต่บทบาทการทำงานในสภาเขาตอนนี้ ทำงานแปลกๆ จะอภิปรายก็ไม่อภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่อภิปราย ตรวจสอบอะไรก็ไม่ตรวจสอบ ยืนยันอย่างเดียวให้นายกฯยุบสภา ทั้งที่เป็นฝ่ายค้านทำหน้าที่ทางนิติบัญญัติ
อันนี้ทำให้สังคมมองว่า นี่เป็นสัญญาณอะไรหรือไม่ ในอนาคต ที่ต่างฝ่ายต้องรักษาน้ำใจเอาไว้ในการตั้งรัฐบาลคราวหน้าให้ได้ เพราะถ้าเกมบีบแบบนี้ ชินวัตรเองไม่มีทางเลือก เพราะไม่รู้ว่าผลที่ตามมาจะหนักหนาสาหักอย่างไร ในเมื่อตนเองถูกหักหลัง ก็ต้องรีบหักหลังก่อนเหมือนกัน แน่นอน พรรคประชาชนแม้ชนะเลือกตั้ง
แต่ประเมินตั้งรับบาลพรรคเดียวไม่ได้ ก็ต้องหาพรรคการเมืองเป็นพรรคพันธมิตร ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีพรรคไหนไปด้วยกันได้ดีเท่ากับพรรคเพื่อไทย
ศึกชั้นนำแย่งชิงอำนาจ "ประชาชนไม่อยู่ในสมการ" ฝ่ายไหนชนะ ชิงอำนาจแบบนี้ ประชาชนได้ประโยชน์อะไร
รศ.ดร.โอฬาร กล่าวว่า ไม่ได้เลย เราออกแบบการเมืองภายใต้ รธน.ปี 60 ภายใต้ชนชั้นนำ โดยชนชั้นนำและเพื่อชนชั้นนำ ที่อาศัยความชอบธรรมก็คือการเลือกตั้ง ประชาชนเป็นสะพานให้เขาเข้าไปอยู่ในก้อนเค้กแห่งผลประโยชน์
บอกเลยว่า เรื่องนี้ เราให้เป็นผู้ดู จะชอบไม่ชอบ วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในฐานะเป็นเจ้าของประเทศตัวจริง การเมืองของเรานั้น อำนาจของเราถูกพรากไปโดยกลุ่มชนชั้นนำ การทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เกี่ยวกับประชาชนเลย เกี่ยวกับผลประโยชน์ของพวกเขาล้วนๆ
เมื่อถามว่า โอกาสไปสู่การรัฐประหารยากใช่ไหม
รศ.ดร.โอฬาร มองว่า สถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ในสภาพบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ทำให้เกิดต้นทุนสูงมากยิ่งขึ้น เห็นแล้วว่า การรัฐประหารนั้น ยึดอำนาจได้จริง แต่สิ่งเสียหายมาก คือ ความศรัทธาที่มีต่อกองทัพ
"กองทัพเพิ่งฟื้นคะแนนความนิยมมาได้ จากกรณีแม่ทัพภาคที่ 2 ผมคิดว่าเขาจะไม่เสียโอกาส ที่จะทำลายต้นทุนตัวเองอีกครั้ง กระบวนการเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องรัฐประหาร กลไกที่มีอยู่ตอนนี้ สามารถจัดการศัตรูทางการเมืองได้เองอยู่แล้ว"