
นายอรรทิตย์ฌาณ คูหาเรืองรอง หรือ “อาร์ตถึงแก่น” โฆษกพรรคโอกาสใหม่ กล่าวถึงความผันผวนของสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน ที่หลายฝ่ายกังวลถึงทิศทางของประเทศจากความล้มเหลวในการบริหารจัดการเชิงโครงสร้าง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และคุณธรรมทางการเมืองว่า ประชาชนต้องอยู่เหนือการเมือง หากวันใดการเมืองไม่มีคุณภาพ ประชาชนต้องลุกขึ้นมาจัดการ ไม่ใช่ด้วยความเกลียดชังหรือแบ่งฝ่าย แต่ด้วยการสร้างความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และยึดหลักการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกของพลเมือง โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน ที่ควรได้รับโอกาสในการเรียนรู้ เข้าใจปัญหาของประเทศชาติอย่างลึกซึ้ง และพัฒนาตนเองเพื่อมาร่วมวางรากฐานให้ประเทศมั่นคงและมั่งคั่งในอนาคต
อรรทิตย์ฌาณ คูหาเรืองรอง หรือ “อาร์ตถึงแก่น” โฆษกพรรคโอกาสใหม่
“การพัฒนาประเทศจะเกิดขึ้นได้จริง ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างคนรุ่นใหม่ที่มีพลัง กับคนรุ่นเก่าที่มีประสบการณ์ ทั้งนี้อยู่บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน และผลประโยชน์สูงสุดต้องตกอยู่กับ “ประชาชน” ไม่ใช่กลุ่มการเมือง” โฆษกพรรคโอกาสใหม่ กล่าว
ขณะที่ “ฟ้าคราม - นายชวิศร์ ชูประทุม” อินฟลูเอนเซอร์การเมือง-สังคม ระบุว่า แม้วันนี้ ตนเองจะยังไม่ได้ทำงานการเมืองโดยตรง แต่ในฐานะของพลเมืองไทย ก็พร้อมที่จะปกป้องชาติบ้านเมือง ให้พ้นจากวิกฤตด้วยความรู้ ความสามารถ และความมุ่งมั่น หากวันหนึ่งประเทศไทยเดินมาถึงทางตัน ตนและกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน พร้อมจะแสดงพลังในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม
“การเมืองไทยยุคใหม่จะเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ต้องใช้ “ความรู้ผสานกับประสบการณ์” โดยไม่ทิ้งจิตสำนึกแห่งความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ในเชิงบริหารจัดการบ้านเมือง แต่ยังรวมถึงการธำรงรักษาและเทิดทูนสถาบันหลักของชาติอย่างจริงจัง” ฟ้าคราม - ชวิศร์ ชูประทุม ระบุ
ส่วนในขณะที่บางฝ่ายพยายามเบียดขับความคิดอนุรักษ์นิยม ให้กลายเป็นสิ่งล้าหลังนั้น ทั้งนายอรรทิตย์ฌาณ และนายชวิศร์ ระบุว่า ขอให้เชื่อมั่นในคนรุ่นใหม่ ที่ยืนหยัดบนอุดมการณ์ซื่อตรง รักแผ่นดิน และพร้อมจะปกป้องบ้านเมืองนี้ ให้มั่นคง แข็งแรง และงดงาม โดยตีความ “อนุรักษ์นิยม” ในมุมใหม่ ให้เป็นพลังของความมั่นคง ความรับผิดชอบ และความกลมเกลียว ไม่ใช่แค่การรักษาอดีต แต่คือการสร้างอนาคตที่มีรากฐานมั่นคง เพราะแม้คนรุ่นใหม่จะพร้อมก้าวขึ้นมา แต่ก็รู้ดีว่า “ความมั่นคงของชาติ” เกิดจากการสานต่อ ไม่ใช่ล้มล้าง จึงไม่ได้มองคนรุ่นก่อนเป็นสิ่งล้าหลัง แต่มองว่า คนรุ่นก่อน คือ ผู้วางรากฐาน และคือครูของประวัติศาสตร์ร่วมเคยผ่านการต่อสู้กับความไม่ยุติธรรม ทั้งการทุจริตและการบ่อนทำลายชาติ
นายอรรทิตย์ฌาณ และนายชวิศร์ ยืนยันว่า หากประเทศไทย จะเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และยั่งยืน “เสียงของประชาชน” จะต้องไม่ถูกเพิกเฉย โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนที่มีความหวัง มีกำลังความคิด และมีความรู้ ความสามารถ พร้อมทำงานเพื่อประเทศอย่างแท้จริง การเมืองจะเป็นเรื่องของ “คุณธรรมและปัญญา” ไม่ใช่ “ผลประโยชน์และการชิงอำนาจ” และอนาคตของชาติจะไปได้ไกล หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน และพร้อมจะต่อต้านการเมืองทุจริต ต่อต้านกลุ่มเซาะกร่อนทำลายชาติ และยืนหยัดปกป้อง สถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยไม่หลงใหลไปกับกระแสโลกที่พร่ามัวจริยธรรม
"ประเทศชาติไม่อาจอยู่ได้ด้วยอำนาจ แต่จะมั่นคงได้ด้วยคุณธรรมของคนทุกวัยที่ร่วมกันรับผิดชอบและส่งต่ออนาคต" นายอรรทิตย์ฌาณ กล่าว
"ไม่ว่าผมจะอยู่ตรงไหนของประเทศไทย หน้าที่ของผมคือการยืนหยัดบนหลักการที่ถูกต้อง เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน" นายชวิศร์ กล่าว