
2 มิถุนายน 2568 สืบเนื่องสถานการณ์ภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ภายหลังเกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มที่สนับสนุนนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. กับ สส.กลุ่มของ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค รทสช. ที่เตรียมย้ายออกจากพรรค รทสช. ไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ชื่อ “พรรคโอกาสใหม่”นั้น
ล่าสุด ดร.ณัฏฐ์ หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความรู้ทางด้านกฎหมายมหาชน อันเป็นประโยชน์สาธารณะว่า การเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองตามมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 กรณี ที่ประชุมใหญ่สามัญพรรครวมไทยสร้างชาติ ประจำปี พ.ศ. 2568 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 มีมติแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรครวมไทยสร้างชาติ พ.ศ.2563 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อบังคับพรรครวมไทยสร้างชาติ(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2568 นั้น
สิ่งที่ต้องพิจารณาว่า ข้อบังคับพรรคชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ดังนี้
(1) ข้อบังคับพรรค รสทช. ต้องผ่านมติที่ประชุมใหญ่ ต้องย้อนไปตรวจสอบว่า รายงานการประชุมที่ระบุไว้ กับการบุคคลที่เข้าร่วมประชุมพรรค ครบถ้วนตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองหรือไม่
ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า การแก้ไขข้อบังคับพรรค ฉบับใหม่ ต้องกระทำผ่านที่ประชุมใหญ่สามัญหรือวิสามัญ ก็ได้ หมายความว่า ต้องเป็นไปตามมติที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมือง และต้องมีวาระการประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรค โดยสมาชิกพรรคต้องได้อ่านเนื้อหาก่อนมีมติเห็นชอบ ไม่ได้หมายความว่า หัวหน้าพรรค กระทำลับลวงพราง และไม่มีในวาระการประชุม ดังนั้น ตามที่นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.นำไปประกาศข้อบังคับใหม่ ต้องย้อนกลับไปตรวจสอบว่า การประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2568 เป็นไปตามเงื่อนไขตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองหรือไม่ หากไม่ครบเงื่อนไข การประชุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นโมฆะ ส่งผล การแก้ไขข้อบังคับพรรคไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(2)ในส่วนข้อบังคับพรรคที่แก้ไขใหม่ ประเด็น การสิ้นสภาพความเป็นสมาชิกพรรค เป็นกรณีมีความเห็นต่าง-ฝักใฝ่พรรคการเมืองอื่น หากเป็น สส.การสิ้นสภาพ สส.จะต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า ข้อบังคับพรรค ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญและไม่ขัดต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยรัฐธรรมนูญบัญญัติถึงกรณีสมาชิกภาพความเป็น สส.สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (9) กรณีขับออก มติพรรค ต้องประกอบด้วย เสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ ของที่ประชุมร่วมของ กก.บห. และ สส.ที่สังกัดพรรคการเมืองนั้น แต่กรณีข้อบังคับพรรคใหม่ ให้สิ้นสภาพเป็นสมาชิกพรรค ย่อมขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะการสิ้นสภาพสมาชิกพรรค กรณีมีความเห็นต่าง-ฝักใฝ่พรรคการเมืองอื่น ตนไม่เคยเห็นพรรคการเมืองใดนำมาเขียนไว้ในข้อบังคับพรรค เพราะเสรีภาพความเป็นสมาชิกพรรค เป็นเสรีภาพของพี่น้องประชาชน แต่มีผลกระทบต่อสถานะสมาชิกภาพความเป็น สส.ตามรัฐธรรมนูญ
จะเห็นได้ หากพิจารณาข้อบังคับพรรครวมไทยสร้างชาติ(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2568 ในข้อ 53 ข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 ลักษณะมัดมือชก แตกต่างจากทุกพรรคการเมืองในประเทศไทย นายแสวง บุญมี ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ควรตรวจสอบก่อนส่งไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา รัฐธรรมนูญ มาตรา 101(9) กรณีสมาชิกพรรคนั้น มีสถานะความเป็น สส. หากเห็นต่าง ทำให้แตกแยก หรือ ฝักใฝ่พรรคการเมือง ทำให้สิ้นสมาชิกภาพนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า การพ้นสมาชิกพรรค ต้องเป็นกรณี ตาม พรป.พรรคการเมือง และไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แตกต่างขับออก ต้องเป็นการประชุมร่วม ระหว่าง กก.บห.และ สส.ด้วยเสียง 3 ใน 4 จึงจะพ้นจากสมาชิกพรรค และ สส.ยังไม่สิ้นสมาชิกภาพ แต่พ้นสภาพสมาชิกพรรค ทำให้สถานะ สส.สิ้นสุดลง
ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย มิใช่ระบบเผด็จการในพรรคการเมือง ข้อบังคับพรรครวมไทยสร้างชาติ(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2568 ข้อ 53 ที่แก้ไขใหม่ มีลักษณะขัดต่อ พรป.พรรคการเมือง และรัฐธรรมนูญ
หากกลุ่ม นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ประกาศย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองอื่น ย่อมไม่ทำให้สถานะ สส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ