10 พฤษภาคม 2568 ปมร้อนการเมือง กรณี กกต.ออกหมายเรียก แจ้งข้อกล่าวหาต่อสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. ในกรณี “ฮั้วเลือก สว.” ซึ่งล็อตแรกมีจำนวน 55 คน จากรายงานว่า คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ กกต. ร่วมกับ ดีเอสไอ และ ปปง. ร่วมกันทำงานในคดี “ฮั้วเลือก สว.” มีบุคคลที่อยู่ในลิสต์ถูกส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาทั้งสิ้น 150 ราย
การดำเนินการทางกฎหมายในคดี “ฮั้ว สว.” ในชั้นนี้ ถ้าให้วิจารณ์กันตามเนื้อผ้าต้องบอกว่า ยังห่างไกลที่จะเอาผิด หรือขุดรากถอนโคน “สว.สีน้ำเงิน” ตามที่มีบางฝ่ายวาดหวังเอาไว้ได้
โดยเฉพาะหากเชื่อว่า ทั้งหมดนี้คือการตอบโต้กันทางการเมือง และช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมือง
กระบวนการที่ทำมาทั้งหมด ชัดเจนว่ามี “แรงขับดันทางการเมือง” เจือปนอยู่มาก เช่น การนำหมายเรียก หรือ “หนังสือแจ้งข้อกล่าวหาไปส่ง” ซึ่งกลายเป็นข่าวครึกโครมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และผิดธรรมเนียมการสอบสวนคดีความของไทย รวมถึงธรรมเนียมปฏิบัติของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมด้วย
ขณะที่ “หนังสือแจ้งข้อกล่าวหา” ก็ไม่ใช่ “หมายเรียกในคดีอาญา” ตามที่มีการให้ข่าว เพราะกระบวนการในองค์กรอิสระอย่าง กกต. เป็นระบบไต่สวน จึงใช้การออกหนังสือเรียก หรือเชิญผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาชี้แจงข้อเท็จจริง แต่กลับมีการให้ข่าวว่าเป็น “หมายเรียก” เพื่อดิสเครดิตกลุ่ม สว.
ความเห็นในส่วนนี้ “ข่าวข้นคนข่าว” พูดคุยกับนักวิชาการชื่อดังอย่าง “ดร.ณัฏฐ์” ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน
แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ยังมีเงื่อนแง่ทางกฎหมายอีก 1 ประการ คือ กรอบระยะเวลา 1 ปีในกระบวนการ “สอย สว.” ซึ่งเป็นอำนาจของ กกต.
เงื่อนแง่ทางกฎหมายในเรื่องนี้ มี 3 ประเด็นด้วยกัน คือ
หนึ่ง กกต.มีอำนาจ “สอย สว.” หลังจากประกาศรับรองผลการเลือก สว.แล้วหรือไม่
ประเด็นนี้เคยมีข้อถกเถียงกันมาแล้ว ช่วงที่ กกต.ประกาศรับรอง สว.ชุดนี้ใหม่ๆ เมื่อ 10 กรกฎาคม 2567 โดยอ้างว่าไม่มีกฎหมายใดรองรับอำนาจ กกต.ในการ “สอย สว.” หลังประกาศรับรอง ฉะนั้นกระบวนการที่เรียกกันว่า “รับรองก่อน สอยทีหลัง” จึงไม่สามารถทำได้
แต่จากการตรวจสอบข้อกฎหมาย และคำสัมภาษณ์ของเลขาธิการ กกต. แสวง บุญมี หรือ “เลขาฯแหวง” พบว่า กกต.มีอำนาจตามกฎหมายอย่างน้อย 2 ฉบับ ในการตรวจสอบการได้มาซึ่ง สว. หลังประกาศรับรองไปแล้ว ได้แก่
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 มาตรา 62
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 226
สรุปสาระสำคัญก็คือ
- เมื่อ กกต. ประกาศผลการเลือกแล้ว
- ถ้ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือก...
- ทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม
- ให้ กกต. ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น
สอง กรอบเวลา 1 ปีมีอยู่จริงหรือไม่ กกต.ต้องสอย สว.ภายใน 1 ปีเท่านั้้นหรือเปล่า / หากล่วงเลยเวลาไปแล้ว ถือว่า “สอยไม่ได้” หรือ “ต้องปล่อยผี” ใช่หรือไม่
จากการตรวจสอบข้อกฎหมาย ทั้งรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ไม่พบว่ามีการกำหนดกรอบเวลา 1 ปีเอาไว้
ถ้าดูเฉพาะกฎหมายแม่บททั้ง 2 ฉบับ ก็ต้องถือว่า กกต.มีอำนาจ “สอยได้เรื่อยๆ”
แล้วกรอบเวลา 1 ปีมาจากที่ไหน?
อาจารย์เสรี สุวรรณภานนท์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และนักกฎหมายชื่อดัง บอกว่า คนทั่วไปยังไปยึดติดรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้าที่มีการกำหนดกรอบเวลา 1 ปีเอาไว้ เพื่อกำกับการทำงานของ กกต. และเป็นการเคารพสิทธิ์ของสมาชิกรัฐสภาที่ผ่านมาเลือกตั้ง หรือคัดเลือกเข้ามา (ทั้ง สส.และ สว.) ถือว่าเป็นตัวแทนประชาชน จึงควรมีกรอบเวลาในการตรวจสอบ หากพ้นเวลาที่กำหนด ก็ต้องถือได้ว่า ผ่านการเลือกตั้ง หรือคัดเลือกเข้ามาโดยสุจริตเที่ยงธรรม
นอกจากนั้น เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่ง ก็เพื่อไม่ให้ข้อร้องเรียนกล่าวหาต่างๆ ไปกระทบกับการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาด้วย มิฉะนั้้นอาจถูกใช้เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง หรือสกัดกั้นการทำหน้าที่ หากปล่อยให้ร้องได้โดยไม่กำหนดเวลา
แต่ในรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ฉบับปัจจุบัน / คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญไปตัดข้อความส่วนนี้ออกไปแล้ว ฉะนั้นการ “สอย” จึงทำได้ โดยไม่มีกรอบเวลา 1 ปี โดยเฉพาะหากพบ “ข้อเท็จจริงใหม่” ว่ากระบวนการเลือกเป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม
แต่อาจารย์เสรี บอกว่า เรื่องนี้ยังมีปัญหาอยู่ เพราะยังมี “ระเบียบ กกต.” กำหนดกรอบเวลาเอาไว้ เหมือนกับเป็นกรอบเวลาการทำงานของตนเอง ว่าต้องตรวจสอบเรื่องร้องเรียนให้จบภายใน 1 ปี ฉะน้นกรอบเวลา 1 ปีจึงยังมีอยู่ในการทำงานของ กกต. หากพ้น 1 ปีไปแล้ว กกต.อาจอ้างได้ว่า กระบวนการเลือก สว.ที่ประกาศรับรองไปแล้ว ถือว่าสุจริต เที่ยงธรรม และอาจส่งผลให้ กกต.ชุดใหญ่มีมติยกคำร้อง จากชั้นอนุกรรมการ หรือ คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนได้เหมือนกัน
แต่อดีต สว.เสรี ก็เตือน กกต.ด้วยว่า หากฝ่ายที่กล่าวหามีพยานหลักฐานชัดเจน และพยานหลักฐานนั้นถูกเปิดเผยออกมา โดยพบว่า กกต.รับทราบแล้ว แต่กลับไม่ดำเนินการใดๆ หรือปล่อยให้พ้นระยะเวลา 1 ปี สุดท้าย กกต.เองนั่นแหละอาจจะถูกดำเนินคดีได้เหมือนกัน
สาม หากพ้นกรอบระยะเวลา 1 ปี การ “สอย สว.” จะมีปัญหาเรื่องน้ำหนักพยานหลักฐานหรือไม่
ประเด็นนี้ “ข่าวข้นคนข่าว” ตรวจสอบกับนักกฎหมายหลายคน ให้ความเห็นว่า มีความเป็นไปได้เช่นกัน เพราะเมื่อ กกต.ใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานค่อนข้างนาน / พยานหลักฐานที่ส่งศาล จึงไม่ควรเป็นแค่ “พยานหลักฐานเชื่อได้ว่า” แต่น่าจะต้องมีความชัดเจน ไม่ต่างกับการพิสูจน์ความผิดในทางอาญา
ขณะเดียวกัน ฝ่าย สว.ผู้ถูกกล่าวหา ก็อาจหยิบยกประเด็นกรอบเวลาขึ้นมาเป็น “ข้อต่อสู้” ได้เหมือนกัน ส่วนจะฟังขึ้นหรือไม่ ฟังขึ้นแค่ไหน อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล