
กลายเป็นประเด็นที่ถูกจับตา สำหรับอาคารรัฐสภาไทย หรือสัปปายะสภาสถาน ที่เพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จไม่นานงบประมาณ 20,000 ล้านบาท แต่กลับพบว่ามีการตั้งแท่นของบซ่อมแซมแล้วนับพันล้าน กลายเป็นมหากาพย์ สร้าง – ซ่อมบานปลายไม่หยุด
ตลอดระยะเวลาหลังจากครบกำหนดสัญญา มีปัญหา “น้ำรั่ว” เป็นข่าวใหญ่อย่างน้อย 5 ครั้ง
-13 ส.ค. 2563 น้ำรั่วจากฝ้าเพดานหลายจุด
-1 ก.ย. 2563 น้ำรั่วชั้น 7 เข้าไปในลิฟท์
-19 ก.ย. 2564 น้ำรั่วเข้าห้องโถงชั้น 1
-14 ต.ค. 2564 น้ำรั่วห้องประชุมสุริยัน
-3 มี.ค. 2565 ท่อประปาแตก น้ำไหลจากชั้น 8 ลงชั้นใต้ดิน ลิฟท์เสียหาย 3 ตัว (มูลค่าลิฟท์ตัวละ 2 ล้านบาท)
- โครงการที่ได้รับการจัดสรรงบปี 2569 โดย ครม. และอยู่ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 แล้ว 956 ล้านบาท
- โครงการที่หน่วยงานทำคำขอ แต่ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบปี 2569 อีก 1,817 ล้านบาท
ทั้งหมดเกิดขึ้น ตั้งงบซ่อมแซม ทั้งๆ ที่เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเต็มระบบมาเพียง 5 ปี!!
มีข้อมูลของฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชน ที่ออกมาตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการตั้งงบปี 2569 เกือบๆ 1 พันล้านบาท เพื่อซ่อมแซมปรับปรุงสิ่งปลูกสร้าง และพื้นที่บางส่วนของอาคารรัฐสภา โดยทักท้วงว่าไม่มีความเหมาะสม เพราะเพิ่งใช้งานมาเพียง 5 ปี แถมยังมีงบฯที่ตั้งไว้ แต่ยังไม่ผ่านการอนุมัติอีกกว่า 1 พันล้านบาทนั้น แท้ที่จริงแล้ว ห้วงเวลา 5 ปีที่อ้างว่าใช้งานอาคารรัฐสภาหลังนี้ ยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่มาก
อดีต สส.วิลาศ จันทร์พิทักษ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเกาะติดการตรวจสอบการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ จนได้รับฉายา “มือปราบสัปปายะสภาสถาน” ให้ข้อมูลกับ “ข่าวข้นคนข่าว” ว่า ติดตามเรื่องนี้มาตลอด และขอตั้งข้อสังเกตว่า งานเก่าที่มีปัญหาและถูกร้องตรวจสอบ ยังไม่ได้ซ่อมแซม แล้วไปของบฯใหม่ ไปรื้อทิ้งของเก่า ก็แปลว่าของเก่าที่มีปัญหาจะได้ไม่ต้องซ่อม แบบนี้ถือว่าเอื้อประโยชน์ใครหรือไม่
1.มีเรื่องร้องเรียนอยู่ใน ป.ป.ช. ทั้่งหมด 56 เรื่อง ที่เกี่ยวกับปัญหาการก่อสร้างอาคารรัฐสภา “สัปปายะสภาสถาน” ทั้งสร้างผิดแบบ สร้างผิดสเปค อุปกรณ์ไม่ตรงปก สร้างแล้วชำรุดเสียหาย รวมไปถึงข้อกล่าวหาใช้ “ไม้ปลอม” ไม่ตรงกับที่ออกแบบเสนอราคา
2.เรื่องการขยายระยะเวลาสัญญาการก่อสร้าง
- ทุกคนเข้าใจว่าขยายได้ทั้งหมด 4 ครั้ง ซึ่งก็นับว่ามากแล้ว โดยการขยายเวลาครั้งสุดท้าย สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2563 และสภาไม่ให้ขยายเวลาต่อ
- ทุกคนเข้าใจว่าการขยายเวลาจบลงแค่นั้น จึงเริ่มนับอายุการใช้งานจริงตั้งแต่สิ้นปี 2563 แต่ความจริงกลับไม่ใช่เช่นนั้น
- บริษัทผู้รับจ้างใช้สิทธิ์โควิด ขยายเวลาอีก 827 วัน โดยไม่คิดค่าปรับ (ค่าปรับ 0%) โดยอ้างอิงกรอบเวลาที่รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. 2563 ถึง วันที่ 30 มิ.ย. 2565 รวม 827 วัน
- แต่จริงๆ แล้ว ช่วงระหว่างวันที่ 25 มี.ค. 2563 ถึง วันที่ 31 ธ.ค. 2563 บริษัทผู้รับจ้าง ได้รับการขยายเวลาจากสภาอยู่แล้ว จึงไม่ควรนำมานับรวม
- แต่กลับนำห้วงเวลาดังกล่าวราวๆ 200 กว่าวัน มานับรวม ทำให้ได้ขยายเวลาฟรีไปอีก 200 กว่าวัน เพื่อให้ครบ 827 วัน จึงได้ขยายเวลาส่งมอบงานไปถึงวันที่ 7 เม.ย. 2566 โดยไม่ต้องจ่ายค่าปรับ
- เท่านั้นยังไม่พอ บริษัทผู้รับจ้างยังได้สิทธิ์จากที่รัฐบาลประกาศช่วยเหลือผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ อีก 150 วัน จึงมีการนำไปนับต่ออีก
- สรุปแล้ว โครงการก่อสร้างรัฐสภา สิ้นสุดสัญญาจริง วันที่ 4 ก.ย. 2566 และทางบริษัทผู้รับจ้างเพิ่งส่งมอบงาน
- คณะกรรมการตรวจการจ้างของสภา มีความเห็นไม่เป็นเอกฉันท์ มีเสียงคัดค้านว่าไม่ควรตรวจรับ เนื่องจากมีการก่อสร้างผิดแบบอีก 24 รายการ
- ต่อมาวันที่ 29 มี.ค. 2567 มีการแก้ไขสัญญา ยอมรับว่าก่อสร้างผิดแบบ แปลว่าการส่งงานวันที่ 4 ก.ย. 2566 เป็นการส่งงานที่ไม่ตรงตามแบบ แต่ก็ไม่มีการปรับ
- กระทั่งวันที่ 24 เม.ย. 2567 คณะกรรมการตรวจการจ้าง มีมติให้รับงาน สรุปว่างานเสร็จสมบูรณ์ 100% แล้ว โดยลงมติให้รับมอบงานย้อนหลังไปถึงวันที่ 4 ก.ย. 2566 ทั้งที่งานผิดแบบ
- ผู้แทนคณะกรรมการตรวจการจ้าง ลงนามตรวจรับงาน 5 ก.ค. 2567 ทำให้การตรวจรับสมบูรณ์อย่างเป็นทางการ ทั้งๆ ที่ก่อนส่งมอบงาน 4 ก.ย. 2566 เพียงไม่กี่วัน ยังมีการทุบพื้นทางเดินอยู่เลย
3.การเสนอตั้งงบฯใหม่เพื่อซ่อมแซม และปรับปรุงสิ่งปลูกสร้าง หรือพื้นที่ส่วนต่างๆ ของสภา ตนขอให้จับตาเป็นพิเศษ 3 โครงการ คือ
1.จ้างออกแบบที่จอดรถชั้นใต้ดิน 106 ล้านบาท (ยังไม่รวมค่าก่อสร้างอีกว่า 1,500 ล้านบาท) คำถามคือ การสร้างที่จอดรถชั้นใต้ดินจะทำได้อย่างไร เพราะมีปัญหาน้ำรั่วที่ชั้นใต้ดินเต็มไปหมด และน้ำก็ซึมกว่า 100 จุด โดยเฉพาะชั้น B2
หากโครงการนี้เดินหน้าต่อไปถึงขั้นตอนการประกวดราคาจ้างเหมาอีก 1,500 ถึงหลายพันล้านบาท คนที่ได้ประโยชน์คือบริษัทผู้รับจ้างเดิมที่ต้องซ่อมแซมปัญหาน้ำรั่วซึม เพราะเมื่อมีโครงการใหม่ ก็ไม่ต้องซ่อมของเก่าอีกต่อไป คำถามคือ เป็นการช่วยเหลือกันหรือไม่?
2.งบปรับปรุงศาลาแก้ว 123 ล้านบาท โดยศาลาแก้วมี 2 หลัง ปลูกสร้างเป็นปีกซ้ายและปีกขวาของอาคารรัฐสภา ตอนที่ออกแบบก่อสร้าง อ้างว่าเตรียมไว้ใช้จัดงานพระราชพิธี
ศาลาแก้ว มีสระน้ำล้อมรอบทั้ง 2 ศาลา ตนเคยร้อง ป.ป.ช.ว่า ใช้วัสดุผิดแบบ คือตามแบบให้ปูด้วยหินวิทิตาส้ม ขนาด 60 คูณ 60 แต่ของจริงใช้ขนาด 40 คูณ 40 เท่านั้น ทั้งที่ราคาต่างกันเยอะ
การปูหิน ตามแบบต้องมีคานรองรับ แต่ก่อสร้างจริงไม่มีคาน ใช้เพียงก้อนหินรองรับ ถือว่าสร้างผิดแบบ
เมื่อเดือน ม.ค. 2568 พื้นคอนกรีตที่เป็นก้นสระน้ำรอบศาลาแก้วเกิดล่อน และยกตัวขึ้นมา ทำให้น้ำรั่วลงไปที่ชั้น B1
ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค. 2568 มีการไปรื้อ และสูบน้ำออก เพื่อซ่อมแซม แต่วิธีการซ่อม คือซ่อมเฉพาะจุด ไม่ได้ซ่อมทั้งหมด ทำให้ไม่มั่นใจว่าวันไหนน้ำจะรั่วอีก หรือพื้นปูนแผ่นอื่นจะล่อนอีกหรือไม่
ฉะนั้นตนจึงขอตั้งข้อสังเกตว่า การปรับปรุงศาลาแก้ว 123 ล้าน จึงไม่ใช่แค่ติดแอร์ หรือตกแต่งเพิ่ม แต่น่าจะมีเหตุผลอื่น เพราะสิ่งที่ต้องเร่งทำ แต่กลับไม่ทำมี 3 อย่าง คือ ต้องแก้เรื่องหินผิดขนาด, แก้เรื่องก่อสร้างผิดแบบ และแก้เรื่องซีเมนต์ปูใต้สระทั้งหมด การตั้งงบใหม่โดยที่ยังมีปัญหาเก่า ถือว่าเอื้อประโยชน์กันหรือไม่
3.โครงการถม “สระมรกต” เพื่อสร้างห้องสมุด และ Co-working Space บริการประชาชน ตั้งงบเอาไว้ 150 ล้านบาท
“สระมรกต” อยู่ที่ชั้น 1 ของอาคารรัฐสภา (พื้นปูด้วยกระเบื้องสีเขียว จึงดูเหมือนสีมรกต) ที่ผ่านมามีปัญหาน้ำรั่วลงไปที่หน้าลิฟท์ชั้น B2 มีการซ่อมแซมไปแล้ว แต่ไม่รับประกันว่าจะรั่วอีกหรือไม่
ปัญหาของ “สระมรกต” คือ พื้นไม้รอบสระมรกตมีน้ำขัง และไม้รอบสระเป็นไม้ปลอมหรือไม่ เรื่องนี้ตนเคยแฉมาหลายครั้งว่า ไม้ที่ใช้สร้างสภาเป็นไม้ปลอม แหล่งที่มาไม่ตรงกับที่แจ้งในสัญญา ตนพร้อมขึ้นศาลเพื่อ “เดินเผชิญสืบ” ว่าเป็นไม้ปลอม จะพาศาลไปพิสูจน์แหล่งซื้อไม้ อยากให้ทางสภาหรือบริษัทผู้รับจ้างฟ้องตน จะได้ไป “เดินเผชิญสืบ” กัน
เหตุผลที่นำมาอ้างถมสระมรกต คือ อ้างว่าน้ำเน่า ทำให้ยุงลายชุม ทั้งๆ ที่ยุงลายไม่อยู่ในน้ำเน่า ตนเป็นเภสัชกร จึงทราบดี
อีกเหตุผลหนึ่ง คือ ต้องการถมสระมรกต เพื่อสร้างเป็นห้องสมุด อ้างว่าห้องอยู่อยู่ชั้น 8-9 ทำให้ประชาชนเข้าถึงยาก ตนอยากถามว่า ย้ายห้องสมุดมาชั้น 1 ประชาชนก็เข้ายากอยู่ดี เพราะเข้าสภาก็ต้องมีการตรวจการเข้า-ออก
สาเหตุของการสร้างสระมรกต บันทึกการออกแบบและก่อสร้างระบุว่า เนื่องจากอาคารนี้เป็นอาคารใหญ่ ใช้เครื่องปรับอากาศจำนวนมาก จึงควรมีสระนี้ และมีต้นไม้ล้อมรอบ จะได้มีความชื้นจากน้ำ เพื่อลดความร้อน และประหยัดแอร์ แต่วันนี้อยู่ดีๆ จะไปรื้อ แล้วก็ติดแอร์ คำถามคือต้องใช้แอร์อีกเท่าไหร่
ที่สำคัญหากโครงการนี้เดินหน้า ก็ต้องรื้อไม้ ซึ่งมีข้อกล่าวหา ไม้ปลอม คาอยู่