
21 กุมภาพันธ์ 2568 ความคืบหน้ากรณี "โพยฮั้ว สว." จากกรณีกลุ่มตัวแทนผู้สมัคร สว. รวมตัวกันมากกว่า 40 คน ทั้งกลุ่ม ส.ว. สำรอง ผู้สมัคร สว. อื่นๆ ได้เข้ายื่นหนังสือต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้ามาร่วมสอบสวน "คดีการฮั้ว โกง และบล็อกโหวตในการเลือก สว." เมื่อปี 2567 อย่างจริงจัง โดยขอให้รับดำเนินการเป็นคดีพิเศษ ตามข่าวที่เสนอไปก่อนหน้านี้
ล่าสุดมีเอกสารหลุด เป็น "เอกสารลับ" กรมสอบสวนคดีพิเศษ เรื่องแจ้งความคืบหน้าผลการสอบสวน และขอความเห็นการดำเนินคดี มีรายละเอียดพอสรุปได้ว่า ผลสอบโพย "ฮั้ว สว." มีจริง
ทั้งนี้เอกสารลับดังกล่าว แจ้งความคืบหน้าผลการสืบสวน และขอความเห็นการดำเนินคดี 3 คำร้อง ส่งถึง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ที่ขอทราบรายละเอียด เกี่ยวกับคำร้องแต่ละคำร้องที่กรมสอบสวนคดีพิเศษรับไว้ดำเนินการ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ แจ้งข้อมูล 3 กรณี ประกอบด้วย
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีข้อสั่งการอนุมัติให้กองกิจการ อำนวยความยุติธรรมดำเนินการสืบสวน กรณีการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภาที่มีกระบวนการหรือพฤติการณ์ ที่มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ซึ่งมีพฤติการณ์อันอาจเป็นความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา และประมวลกฎหมายอาญา โดยอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ลงนามในคำสั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวน เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสืบสวน และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ทำการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน กล่าวคือ การบันทึกถ้อยคำพยานบุคคล การตรวจพิสูจน์ พยานหลักฐานทางดิจิทัล การตรวจสถานที่เกิดเหตุ สถานที่จัดฮั่วสมาชิกวุฒิสภา การตรวจสอบ พยานหลักฐานที่เป็นเอกสารเกี่ยวกับโพยสมาชิกวุฒิสภา และการตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการอั้วสมาชิกวุฒิสภา
จากการสืบสวน และรวบรวมพยานหลักฐาน ได้พิจารณาจากพยานหลักฐาน ปรากฏข้อเท็จจริง เชื่อได้ว่า มีขบวนการในรูปแบบคณะบุคคล มีการจัดตั้งเครือข่ายขบวนการ ซึ่งปกปิดวิธีการ มีวัตถุประสงค์เพื่อฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา เพื่อได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา โดยมีการวางแผนสลับซับซ้อน ทราบเฉพาะในกลุ่มขบวนการ
กล่าวคือมีขบวนการจัดการให้มีผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาในระดับอำเภอ โดยสมัครกลุ่ม ละ 5 คน รวม 100 คน ในระดับอำเภอ 928 อำเภอ (หลักเกณฑ์รอบเข้าเลือกได้ 5 คน) ทำให้บางจังหวัด มีผู้สมัครจำนวนมาก
เอกสารลับของดีเอสไอ ระบุถึง ค่าตอบแทนนั้น ระดับอำเภอ จำนวน 5,000 บาท ระดับจังหวัด จำนวน 10,000 บาท และระดับประเทศ จำนวน 40,000-100,000 บาท และถ้าได้สมาชิกวุฒิสภามากกว่า 120 คน จะได้เพิ่ม จำนวน 100,000 บาท
หลังจากวันที่ 16 มิถุนายน 2567 ภายหลังผ่านการคัดเลือกระดับจังหวัด "ขบวนการ" ได้นัดหมาย ผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา ระดับประเทศ ไปจัดทำโพยฮั้วสมาชิกวุฒิสภา ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนครนายก ในวันที่ 24 มิถุนายน 2567 เวลา 16.00 น. ซึ่งมีการจ่ายเงินสด เป็นมัดจำ จำนวน 20,000 บาท ส่วนที่เหลือได้รับภายหลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งรับรองผลเลือกแล้ว
จากการสืบสวน พบว่า "โพยฮั้ว สว." สมาชิกวุฒิสภา มีหมายเลข จำนวน 2 ชุด กลุ่มละ 7 คน รวม 140 คน และในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ระดับประเทศ พบว่าขบวนการจัดตั้งมีจำนวนผู้สมัครสมาชิก วุฒิสภาซึ่งอยู่ในขบวนการ จำนวนประมาณ 1,200 คน
ต่อมาเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 เวลา 05.00 น. ขบวนการได้แจกเสื้อสีเหลือง ให้กับผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา ระดับประเทศ และขบวนการได้อำนวยความสะดวกโดยจัดหารถตู้โดยสาร ส่งผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา ระดับประเทศ เดินทางไปเมืองทองธานี เพื่อเลือกสมาชิกวุฒิสภา ระดับประเทศ และผลการเลือกสมาชิกวุฒิสภาในรอบเช้า และรอบไขว้ เป็นไปตามโพยขั้วสมาชิกวุฒิสภาทุกประการ
สำหรับโพยฮั้วสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 2 ชุด กลุ่มละ 7 คน นั้น พบว่าเป็นผู้ได้รับเลือกเป็น สมาชิกวุฒิสภาจำนวน 138 คน และอยู่ในลำดับสำรอง 2 คน
กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายการกระทำผิดตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 (ความผิดฐานอั้งยี่) และความผิดฐานฟอกเงินตามพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
เนื่องจากการกระทำความผิดของกลุ่มขบวนการในครั้งนี้ มุ่งหวังเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ นิติบัญญัติ กระทำผิดต่างกรรมต่างวาระ กระทำผิดต่อกฎหมายหลายฉบับ โดยทราบว่ามีการวางแผนมาตั้งแต่ ก่อนเริ่มกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภาต่อเนื่องมาจนถึงภายหลังจากการเลือกสมาชิกวุฒิสภาเสร็จสิ้นแล้ว มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรม มีการแบ่งแยกหน้าที่ มีฝ่ายไอทีเตรียมโปรแกรมค้านวณการลงคะแนน ออกเป็นโพยฮั้วเพื่อให้ได้ผลลัพธ์จำนวนสมาชิกวุฒิสภาตามที่ต้องการ เตรียมบุคคลที่มาลงคะแนนที่เรียกว่ากลุ่ม “พลีชีพ”
ดังนั้น ในการดำเนินการกับขบวนการดังกล่าว จึงต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนเป็นพิเศษ ซึ่งอยู่ใน เงื่อนไขตามกฎหมายที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะรับดำเนินการสอบสวนเป็นคดีพิเศษได้
กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงประสงค์ที่จะรับดำเนินการสอบสวนในส่วนที่พบการกระทำผิดทาง อาญาไว้ดำเนินการ เนื่องจากกลุ่มขบวนการมีการวางแผนที่สลับซับซ้อน กระทำการอุกอาจมิได้เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ยังไม่ได้พิสูจน์ทราบอีกจำนวนมาก จำเป็นต้องใช้วิธีการรวบรวม หลักฐานเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบร่องรอยการติดต่อสื่อสาร เส้นทางการเงิน สถานที่จัดประชุม วางแผน สถานที่พบปะติดต่อ พิสูจน์ทราบกลุ่มบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอที ที่เข้ามาร่วมสนับสนุนการ กระทำความผิดของกลุ่มขบวนการ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ มีความพร้อมด้านบุคลากร และเครื่องมือทางด้าน เทคโนโลยีที่จะใช้ในการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ทราบเครือข่าย และองคาพยพของกลุ่มขบวนการ ทั้งหมด
นอกจากนี้ พยานสำคัญอาจจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการให้ความคุ้มครองพยาน เพราะเหตุที่พยาน อาจเกรงกลัวต่ออันตรายแก่ชีวิตร่างกาย ประกอบกับการกระทำผิดทางอาญาดังกล่าว กระทำต่อบทกฎหมายอื่น นอกจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ที่อยู่ในอำนาจ หน้าที่โดยตรงของ กกต. จึงควรให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวนดำเนินคดีอาญา ตามความผิดที่พบดังกล่าวมาแล้วข้างต้น