9 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นที่น่าจับตาจริงๆ สำหรับกระแสการเมืองที่ร้อนแรงช่วงนี้ ซึ่งนอกจากข่าวปรับ ครม.ที่ออกมาปฏิเสธกันพัลวันแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่กำลังจะถึงไคลแม็กซ์
นั่นก็คือ การตรวจสอบข้อร้องเรียนความไม่สุจริตเที่ยงธรรมในกระบวนการคัดเลือก สว. หรือ สมาชิกวุฒิสภา โดยเฉพาะพฤติการณ์ที่เข้าข่ายการฮั้ว ให้ผลประโยชน์ แลกผลประโยชน์ และเครือข่ายการเมืองจัดตั้ง จนทำให้ได้มาซึ่ง สว.กลุ่มหนึ่งที่เชื่อกันว่าเป็นเครือข่ายจัดตั้งเดียวกัน ที่สังคมเรียกขานกันว่า "สว.สีน้ำเงิน"
ท่านผู้อ่านอาจจะจำไม่ได้แล้วว่า ช่วงก่อนที่ กกต.จะประกาศรับรอง สว.ชุดนี้ เมื่อวันที่ 10 ก.ค.67 มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหากระบวนการได้มาซึ่ง สว.มากมาย สุดท้ายมีการตั้ง "หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย" จากภายนอก กกต. ร่วมตรวจสอบข้อร้องเรียนต่างๆ ประกอบด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง.
โดย "รายการข่าวข้นคนข่าว" ทาง เนชั่นทีวี ช่อง22 ได้เปิดประเด็นนี้ไว้เป็นสื่อแรก เมื่อเดือน ก.ค.ปีที่แล้ว ก่อน กกต.ประกาศรับรองผลการเลือก สว.
แต่จากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป เพราะศาลรัฐธรรมนูญตีตกคำร้องของ "อดีต สว.ชุดตัวตึง" ซึ่งตั้งโดย คสช. ที่ยื่นทิ้งทวนก่อนหมดวาระ เพื่อให้ศาลวินิจฉัยว่า กระบวนการได้มาซึ่ง สว.เป็นโมฆะ ทำให้สังคมเข้าใจว่า "ทุกอย่างจบ - end game"
แต่แม้เรื่องจะเงียบไป หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายยังคงทำหน้าที่กันต่อ และล่าสุดพรุ่งนี้ตอนสายๆ จะมีอีเวนท์ "สว.สำรอง" รวมตัวเข้าพบอธิบดีดีเอสไอ เพื่อยื่นหนังสือให้รับคดีการสอบสวน "โพยฮั้ว สว." เป็นคดีพิเศษ
ข่าววงในแจ้งว่า การไปยื่นหนังสือ เป็นเพียง "อีเวนท์" เพื่อให้เป็นข่าว ให้สังคมหันมาสนใจ แต่จริงๆ "หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย" โดยเฉพาะ ดีเอสไอ ได้ตรวจสอบ เก็บข้อมูล และสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาตลอด พบความเชื่อมโยงที่เป็นความไม่ชอบมาพากลของกระบวนการคัดเลือก สว. โดยเฉพาะในระดับประเทศ ซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนกลับไปถึงระดับจังหวัดและอำเภอได้
ข่าวแจ้งด้วยว่า ดีเอสไอมีแนวโน้มรับเรื่องนี้ไว้เป็น "คดีพิเศษ" และจะดำเนินการต่อในข้อกล่าวหาที่เกี่ยวพันกับโทษอาญา คือ ผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ (ทำให้รับเป็นคดีพิเศษได้) ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 ว่าด้วยอั้งยี่ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (3) ว่าด้วยการทำให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เป็นความผิดตาม พ.ร.ป.การได้มาซึ่ง สว. มาตรา 77 เป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต. ซึ่งก็มีข่าววงในแจ้งว่า น่าจะมีการชี้มูลความผิด สว.ล็อตแรกที่มีปัญหาทั้งเรื่องคุณสมบัติ และกระบวนการคัดเลือกที่เข้าข่ายมิชอบ ในเร็ววันนี้
ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมเรื่องนี้ถึงต้องจับตาเป็นพิเศษ
คำตอบก็คือ การหยิบประเด็นนี้มาขับเคลื่อนในช่วงนี้ เป้าหมายคือ "สว.สีน้ำเงิน" จำนวน 140+ ซึ่งเป็นฐานอำนาจของบางพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล เพื่อดักทางไม่ให้ใช้ สว.เป็นเงื่อนไขต่อรองพรรคแกนนำเหมือนที่ผ่านๆ มา
พูดง่ายๆ คือเปิดทาง เพิ่มโอกาสให้การ "แก้แค้น เอาคืน" บางพรรคทำได้ง่ายขึ้นนั่นเอง , ท่ามกลางกระแสข่าวปรับ ครม.ใหญ่ ริบกระทรวงบางกระทรวงจากพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค เพื่อเอาคืนจากพฤติการณ์ต่างๆ ที่ "อดีตนายกฯ ทักษิณ" โจมตีแบบลอยลมเอาไว้ ทั้ง "อีแอบ - เจ้าเล่ห์ - รำวง - ปากอย่างใจอย่าง - ลี้คิมฮวง" แถมยังมีอีเวนท์ "มอบปี๊บเย้ย" จากที่พรรคเพื่อไทยแพ้เลือกตั้งนายก อบจ.ศรีสะเกษด้วย
ลองคิดดู หาก สว.ล้ม สมาชิกส่วนใหญ่ขาดคุณสมบัติ สมการการเมืองจะเปลี่ยนทันที พรรคเพื่อไทยจะเป็น "ผู้นำเดี่ยว" อย่างเบ็ดเสร็จ และแข็งแกร่งที่สุดในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะพรรคสีส้มยังต้องเผชิญกับการถูกสอย 44 สส. (ต้วเลขจริงของ สส.ปัจจุบัน คือ 25)
หรือถ้าหากล้มสภาสูงไม่ได้ เพราะเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของฝ่ายอนุรักษ์นิยม แต่การที่ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ย่อมบังคับวิถีทำให้การเคลื่อนไหวของ "สว.สีน้ำเงิน" ไม่สะดวก ง่ายดายเหมือนเก่า
เกมนิติสงครามจะถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง โดยที่ฝ่ายน้ำเงินก็มี "ชนักติดหลัง" และอาจถูกฟาดฟันจากอีกฝ่ายได้เหมือนกัน
นี่อาจเป็นอีกหนึ่ง "เกมรุกฆาต" ที่ถูกหยิบมาเล่นควบคู่กับการปรับ ครม. แต่บทสรุปสุดท้ายเท่าที่ฟังมา น่าจะเล่นกันหนักกว่าปรับ ครม. เข้าขั้นสาหัสกันเลยทีเดียว!