svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

จบศึกเลือกตั้ง อบจ. ภาคต่อการเมือง 3 ก๊ก

วิเคราะห์สถานการณ์หลังการเลือกตั้งนายก อบจ. พร้อมมุมมองต่อสถานการณ์การเลือกตั้งใหญ่ในอนาคต จากตัวเเทนผู้ช่วยหาเสียงบ้านใหญ่ค่ายสีเเดง

คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ร่วมพูดคุยถึงอนาคตการเมืองไทย การเมือง 3 ก๊ก ในรายการคมชัดลึก สัมภาษณ์โดย คุณวราวิทย์ ฉิมมณี

วราวิทย์ : วันนี้จะคุยกับผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทยบ้างครับ ว่าเขาตีความผลการเลือกตั้งนายก อบจ. อย่างไร ประสบความสำเร็จหรือพ่ายแพ้ การที่คุณทักษิณลงไป ตกลงสิ้นมนต์ขลังแล้วหรือเปล่า 

และมองไปถึงการเลือกตั้ง 2570 ทำไมสภาพความเป็นสามก๊กน่าจะยังอยู่นะครับ วันนี้คุยกับคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อครับ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทยครับ สวัสดีครับคุณณัฐวุฒิครับ ครับ ตกลงเพื่อไทยประสบความสำเร็จหรือว่าล้มเหลวในการเลือกตั้งครั้งนี้ คุณณัฐวุฒิตีความยังไงครับ 

ณัฐวุฒิ : 10 จาก 16 จังหวัดที่ส่งไปเรายืนยันว่านี่คือความสำเร็จอาจจะมีบางพื้นที่ที่ผิดคาดเพราะคิดว่าน่าจะเอาชนะได้ แต่เมื่อมันไม่ชนะก็เป็นการบ้านของคนทำงานในพรรคจะต้องสรุปบทเรียนแล้วก็แก้ไขปัญหาเดินหน้าต่อไป 

วราวิทย์ : ใน 4 จังหวัดที่แพ้ที่คนสนใจมาก บึงกาฬ ศรีสะเกษ ลำพูน เชียงราย จังหวัดไหนที่คุณ คาดการณ์ไว้หรือว่าผิดคาดบ้าง ใน ใน 4 จังหวัดนี้ลองวิเคราะห์ให้ฟังหน่อย

ณัฐวุฒิ : เชียงรายกับลำพูนครับ เราคิดว่า 2 จังหวัดนี้แม้ว่าเชียงรายจะเป็นการแข่งขันกับแชมป์เก่า แต่ด้วยสรรพกำลังของพรรคที่มีนักการเมืองหลายๆ ท่านรวมพลังกันอยู่น่าจะเอาชนะได้ ลำพูนเนี่ยผู้สมัครของพรรคก็เป็นอดีตแชมป์หลายสมัย ก็คิดว่าน่าจะยังรักษาพื้นที่ไว้ได้เช่นเดียวกัน ส่วนศรีสะเกษ เรารู้อยู่ตั้งแต่ต้นนะว่าไม่ใช่งานง่าย เพราะว่าตัวเจ้าของแชมป์เนี่ย เขาอยู่มาแล้วหลายสมัย แล้วก็ยังคงมีเครือข่ายทางการเมืองทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่เข้มแข็งอยู่ถ้าหากชนะก็คือการพลิกเอาชนะก็คงสูสี หรือถ้าแพ้ก็คงจะไม่ห่างขนาดนี้ ดังนั้นศรีสะเกษแพ้ได้ชนะได้ แต่พอแพ้แล้วคะแนนมันห่างก็ถือว่าแปลกใจกันอยู่

วราวิทย์ : 3 กว่า 

จบศึกเลือกตั้ง อบจ. ภาคต่อการเมือง 3 ก๊ก

ณัฐวุฒิ : ใช่ครับ ส่วนจังหวัดบึงกาฬเป็นจังหวัดที่เรายอมรับว่าเราเป็นรองตั้งแต่ต้น

 

วราวิทย์ : บึงกาฬไม่เหนือความคาดหมายที่แพ้ เพราะว่ารู้อยู่แล้ว คุณแว่นฟ้า ทองศรี ภรรยา คุณทรงศักดิ์ ทองศรี เนี่ยฐานคะแนนก็ค่อนข้างจะแน่น

 

ณัฐวุฒิ : ใช่ครับแต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ตั้งความหวังเอาไว้เลยนะครับเดี๋ยวทีมทำงานบึงกาฬเขาจะหาว่าอ้าวพูดกันแบบนี้แสดงว่าตอนลงไปช่วยกันเนี่ยไม่คิดว่าจะมีโอกาสชนะหรือยังไงเราคิดว่ามีโอกาสแต่ว่าโอกาสที่จะชนะ ค่อนข้างน้อย

 

วราวิทย์ : ที่ศรีสะเกษ เพื่อไทยมี สส. ตั้ง 7 นะ ภูมิใจไทย 2 มันกลับหัวกลับข้างกัน คือคล้ายๆ เชียงใหม่ที่สีส้มเขากวาดไปแต่พอเวลานายก อบจ. เขาแพ้ ศรีสะเกษเพื่อไทยเป็นเจ้าของพื้นที่ในเชิง สส. ทำไมคุณคุณณัฐวุฒิวิเคราะห์ยังไงทำไมถึงมาแพ้เลือกตั้งท้องถิ่น

 

ณัฐวุฒิ : ที่จริงการเมืองภาพใหญ่กับการเมืองท้องถิ่นเนี่ยมันมีเหตุปัจจัยคนละอย่างกันอยู่แล้วนะครับมันไม่สามารถจะเทียบบัญญัติไตรยางค์ว่าถ้าการเมืองสนามใหญ่ใครครองพื้นที่ตรงไหนแล้วก็จะต้องได้การเมืองท้องถิ่นเสมอไปมันเป็นแบบนี้มายาวนานสมัยก่อนที่พรรคประชาธิปัตย์ยึดครองภาคใต้ตั้งแต่ชุมพรจนถึงนราธิวาส

นายก อบจ. หลายจังหวัดก็เป็นคนที่ประกาศตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพรรคประชาธิปัตย์นี่ผมยกตัวอย่างดังนั้นคราวนี้ที่จังหวัดศรีสะเกษเนี่ยเราก็พบว่าเครือข่ายทางการเมืองของทางฝั่งคู่ต่อสู้เขาก็ยังคงมีศักยภาพกำลังพร้อมในขณะที่พรรคเพื่อไทยเองแม้ว่าจะมี สส. อยู่ในพื้นที่ถึง 7 จาก 9 ที่นั่งก็ตามแต่ว่าบางคนก็เป็น สส. ใหม่บางคนก็เมื่อลงไปทำงานในสนามท้องถิ่นความลึกความใกล้ชิดกับกำลังมวลชนในพื้นที่ก็อาจจะยังสู้อีกข้างนึงไม่ได้มันคนละสนามกัน 

 

จบศึกเลือกตั้ง อบจ. ภาคต่อการเมือง 3 ก๊ก

วราวิทย์ : ครับ มันทำให้เห็นว่าเครือข่ายสีน้ำเงินทางอีสานใต้ศรีสะเกษเป็นต้นเนี่ยยังแข็งแกร่งยังเป็นจุดที่เพื่อไทยยังเจาะเข้าไปไม่ได้หรือเปล่า

 

ณัฐวุฒิ : ใช้คำว่าประมาทไม่ได้ดีกว่าเพราะว่าในสนามเลือกตั้งใหญ่เราก็ได้มาถึง 7 จาก 9 ที่นั่ง จังหวัดอื่นๆ ในพื้นที่อีสานใต้ไม่ว่าจะเป็นอุบลราชธานี สุรินทร์หรืออื่นๆ เราก็สามารถจะปักธง สส. ของเราได้เป็นจำนวนมากแต่ว่าในแต่ละพื้นที่แต่ละเขตตั้งแต่การเลือก ตั้งครั้งใหญ่หรือครั้งก่อนหน้านี้ก็ตามอ่ะมันเป็นการต่อสู้ที่เข้มข้นกันอยู่แล้วระหว่างสองพรรคหลัก

 

วราวิทย์ : ครับ ลำพูนทำไมถึงเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่รู้สึกว่าผิดคาด

 

ณัฐวุฒิ : ที่จริงจะบอกว่าผิดคาดไปซะเลยร้อยเปอร์เซ็นต์ก็พูดอย่างงั้นไม่ได้เพราะว่าในสนาม สส. เราก็มี 1 ที่นั่งพรรคประชาชนเขาก็ได้ของเขา 1 ที่นั่ง

 

วราวิทย์ : ลำพูนมี 2 สส.

 

ณัฐวุฒิ : ใช่ครับ

 

วราวิทย์ : พรรคละ 1 

 

ณัฐวุฒิ : พรรคละ 1 อยู่แล้วครับแล้วเมื่อผู้สมัครของพรรคประชาชนเขาก็มีฐานการเมืองจากครอบครัวของเขาอยู่ในพื้นที่ประมาณ หนึ่งบวกกับงานกระแสบวกกับการทำงานในพื้นที่ซึ่งเขาอาจจะทำบางส่วนได้ดีกว่ามากกว่าผู้สมัครหรือทีมงานจากพรรคเพื่อไทยก็ต้องยอมรับเมื่อผลคะแนนออกมาแบบนี้คือทางตัวผู้สมัคร คุณอนุสรณ์ วงศ์วรรณ ก็แสดงความเป็นสุภาพบุรุษยอมรับผลการตัดสินของประชาชนและแสดงความยินดีกับนายกคนใหม่

พรรคเพื่อไทยก็เช่นนั้นครับนี่เป็นการบ้านของเราเราลงสนามในทุกจังหวัดในทุกเขตเลือกตั้งมันแพ้ได้ชนะได้ จังหวัดไหนที่ชนะก็ไม่ได้ลำพองว่าจะต้องชนะตลอดไป จังหวัดไหนที่แพ้ก็ไม่ได้กดดันตัวเองว่าจะสู้เขาไม่ได้ตลอดกาลการเมือง มันมีพลวัต การเมืองมันมีความเปลี่ยนแปลงได้ มันขึ้นอยู่กับคนหรือพรรคการเมืองนั้นๆ น่ะ จะสรุปบทเรียนแต่ละย่างก้าวอย่างไร แล้วจะเลือกวิธีทางในการเดินหน้ายังไง 

 

วราวิทย์ : โอเคแหละ แต่ว่าจังหวัดที่ชนะได้ ที่โค่นแชมป์ได้มันก็มี คนอาจจะไม่ค่อยโฟกัสนครพนม มหาสารคาม

 

ณัฐวุฒิ : นั่นแชมป์หลายสมัยทั้งนั้นหนองคายอีกอะ 

 

วราวิทย์ : และเป็นพื้นที่ที่คุณทักษิณลงไปด้วย ฉะนั้นคนมา มาโฟกัสจังหวัดที่คุณทักษิณลงไปแล้วมันแพ้ คือประเด็นก็เพราะว่า ทีมยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยน่าจะเลือกพื้นที่ที่มั่นใจว่าไป เพื่อให้คุณทักษิณได้ไปใช้กระแสตรงเนี้ย ย้อนกลับมาดูเหมือนกับว่าความนิยมในตัวคุณทักษิณยังอยู่ แต่ทำไมถึงเลือกไปพื้นที่ที่คุณณัฐวุฒิก็ยังใช้คำว่าประมาทไม่ได้ พอไปแล้วมันเสีย คนก็กลับมามองย้อนว่า นี่ ทักษิณไปสิ้นมนต์แล้วหรือเปล่า ไปแล้วไม่ได้ผลหรือเปล่า 

 

ณัฐวุฒิ : ไม่ได้ครับ เพราะว่าเราไม่ได้เดินในสนามการเมือง หรือเอาชนะด้วยเลือกตั้งด้วยเวทย์มนต์ เราชนะด้วยผลงาน เราชนะด้วยตัวนโยบาย แล้วพื้นที่ที่เราไปเนี่ยไม่ได้คัดเลือกกว่าพื้นที่ไหนร้อยเปอร์เซ็นต์นายกทักษิณถึงลงสนาม แต่มันเป็นกลุ่มจังหวัด มันเป็นพื้นที่ใกล้เคียงและทุกคนที่เราส่งลงเลือกตั้ง

เราก็ตั้งความหวังกับผู้สมัครของเราทุกคนคือทีมเดียวกันชนะก็ชนะด้วยกัน แพ้ก็แพ้ด้วยกัน เราเชื่อแบบนี้ ถ้าจะเลือกกันด้วยเหตุผลนั้นน่ะ นายกทักษิณต้องไปปราศรัยที่จังหวัดน่าน ชัวร์ ต้องไปปราศรัยที่จังหวัดแพร่ ต้องไปปราศรัยในจังหวัดใดๆ ก็ตามที่มันชัวร์มากกว่านี้แต่ก็ไม่ทำ เพราะว่า ในการลงสนามทั้งภาคเหนือและภาคอีสานเนี่ย

นอกเหนือจากการหวังผลชัยชนะในแต่ละจังหวัดแล้ว สิ่งที่เราต้องการเห็นก็คือสภาพการเมืองในพื้นที่หลังจากเกือบ 2 ปีของรัฐบาลเนี้ยมันเหมือน มันต่าง หรือมันมีพัฒนาการไปอย่างไร ถ้าเทียบกับหลังการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ผ่านมาแล้วการขาดหายไปจากเวทีการเมืองแบบตัวเป็นๆ ของนายกทักษิณ 17 ปี กลับมาอีกทีในวัย 75 เนี่ยได้เท่าไหร่  แล้วมีแรงต่อ มีผลสะท้อนสะเทือนกับมวลชนในพื้นที่อย่างไร

ซึ่งสิ่งเหล่าเนี้ยครับมันทำด้วยวิธีอื่นเนี่ยมันไม่เห็นต้องลงไปสัมผัสเองใช่ครับแล้วท่านนายกทักษิณเองเนี่ยก็เดินทางไปทุกจังหวัดไปทุกพื้นที่สมัยก่อนเนี่ยท่านอยู่เมืองนอกครับจะถามข่าวจังหวัดนั้นจังหวัดนี้ก็ต้องฟังคนรายงานหรือเล่าให้ฟัง

แต่คราวนี้เห็นจริงๆ สบตาประชาชนจริง จับมือประชาชนจริงๆ ฟังเสียงประชาชนจริงๆ และได้พูดต่อหน้าประชาชนตัวจริง ส่วนตัวผมเองและทีมเนี่ย เราก็ประเมินปฏิกิริยาของมวลชนเราก็ประเมินพลังของคนที่ขานรับหรือแสดงความมีส่วนร่วมกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคคือทุกครั้งที่ท่านนายกฯ ทักษิณขึ้นปราศรัยผมก็อยู่ตรงนั้นนะ

 

จบศึกเลือกตั้ง อบจ. ภาคต่อการเมือง 3 ก๊ก

ณัฐวุฒิ : เพียงแต่ว่าผมถอยออกมายืนอยู่ด้านหลังมุมข้างข้างเวทีเพื่ออ่านปรากฏการณ์ของมวลชนและผมทำแบบนี้ทุกเวทีทุกสนามบางสนามน่ะผมกระซิบทีมงานได้เลยหลังจากลงเวทีว่าที่นี่ชนะแน่บางพื้นที่ผมก็บอกทีมงานเหมือนกันว่าที่นี่ไม่น่าจะไหวดังนั้น

 

วราวิทย์ : แต่ว่าจะมาบอกกัน ณ วันนั้นตอนที่หาเสียงมาพูดในที่สาธารณะมันมันไม่ได้หรอก

 

ณัฐวุฒิ : ใช่ครับ

 

วราวิทย์ : นั่นมันอยู่ในสถานการณ์ของการแข่งขันแต่คุณณัฐวุฒิก็สัมผัสได้ว่าพื้นที่นี้เหนื่อยเหมือนกัน

 

ณัฐวุฒิ : ครับ

 

วราวิทย์ : แม้ว่าคุณทักษิณจะลงไปเองถ้าเลือกเฉพาะพื้นที่ที่มีโอกาสจะชนะร้อยเปอร์เซ็นต์มันก็ไม่ได้ไอ้เสียงสะท้อนเหล่านี้กลับมา

 

ณัฐวุฒิ : ใช่ครับ

 

วราวิทย์ : ว่าพื้นที่ไหนที่เราเราต้องทำงานการบ้านอีกเยอะถูกไหม

 

ณัฐวุฒิ : แล้วงานการเมืองโดยเฉพาะงานเลือกตั้งมันไม่มีวิธีการไหนที่จะรู้ของจริงเท่ากับเดินไปเองล่ะครับอืมดังนั้นสิ่งที่นายกฯ ทักษิณทำวันเนี้ยผมยืนยันว่าสำเร็จแต่มันจะเป็นทุนรอนสำคัญสำหรับการสร้างความสำเร็จที่ใหญ่กว่าก็คือการเลือกตั้งครั้งต่อไป

 

วราวิทย์ : คือถ้าจังหวัดเหล่าเนี้ยเป็นคุณณัฐวุฒิลงไปสัมผัสไปประเมินสถานการณ์มันก็อาจจะเอ่อไม่ได้ถูกมองมากไงว่าจะชนะหรือแพ้เป็นเรื่องธรรมดาแต่พอระดับคุณทักษิณพ่อนายกรัฐมนตรีอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย มันเลยถูกมองว่า เสียเครดิตไปเยอะหรือเปล่าจากการที่ไปอยู่ในประเทศไทยไปตั้ง 17 ปี คุณณัฐวุฒิมองเห็นอะไรที่บรรดาฐานผู้สนับสนุนเดิมให้การตอบรับกลับมา

 

ณัฐวุฒิ : ผมเห็นภาพตรงข้ามเลย ผมตั้งคำถามว่าถ้ามีนักการเมืองคนหนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในประเทศไทย แล้วเขาถูกรัฐประหาร แล้วไม่ได้อยู่ในเมืองไทยมา 17 ปี ใครบ้างจะเดินกลับไปหาประชาชนแล้วได้ขนาดนี้ผมว่าไม่ง่ายนะครับ

 

วราวิทย์ : ถ้ามองย้อนกลับไปช่วงเวลาที่เสียไปเนี่ยกลับมายืนผงาดแบบนี้อีกรอบนึงไม่ง่ายไม่ง่าย

 

ณัฐวุฒิ : คนการเมืองเนี่ยห่างจากเวทีอย่าว่าแต่สิบเจ็ดปีเลยครับห่างจากประชาชนไปซักหนึ่งสมัยของการเลือกตั้งแค่สี่ปีเนี่ยกลับมาอีกทีนี่บางคนจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้วแต่นี่นายกทักษิณเนี่ยสิบเจ็ดปีเต็มๆนะครับ กลับมาอีกทีในวัย 75

ในวัยที่มีช่องว่างหรือมีระยะห่างระหว่างคนรุ่นใหม่พอสมควรแล้วเพราะคนรุ่นหลังที่เติบโตมาเนี่ยเขาอาจจะไม่ทันจำความถึงศักยภาพหรือวิธีบริหารงานของนายกทักษิณ ดังนั้นเดินไปแล้วเห็นภาพแบบนี้ปรากฏการณ์ที่ประชาชนเดิม นั่งกันอยู่ตรงเก้าอี้ครับพื้นที่หน้าเวทีเนี่ยว่างพอผมประกาศเชิญนายกฯ ทักษิณ ที่นั่งเต็มไปหมดด้านหน้าเวที

 

วราวิทย์ : อ๋อตอนพี่เต้น ขึ้นคนก็ยังไม่ฮือฮาอะไรมาก

 

ณัฐวุฒิ : ก็นั่งฟังกันอยู่

 

วราวิทย์ : นี่เหมือนไปชมคอนเสิร์ตแล้วเขาเก็บวงใหญ่ วงแบบดังเอาไว้สุดท้าย

 

ณัฐวุฒิ : ถ้าภาษาวัยรุ่นเดี๋ยวนี้เขาเรียกอะไรตัวท็อปตัวแม่ตัวอะไรเงี้ยนะ

 

วราวิทย์ : พอคุณทักษิณขึ้นมาปุ๊บคนก็แห่เข้ามาหน้าเวที

 

ณัฐวุฒิ : ใช่ครับ แล้วผมก็ถอยออกไปสังเกตเราก็พบเห็นอะไรบางอย่าง ที่ผมคิดว่านี่คือปรากฏการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นง่ายๆ กับนักการเมืองคนไหนๆ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านมา

 

วราวิทย์ : ก็แปลว่ามันขึ้นอยู่กับว่าเราเอาช่วงเวลาไหนเป็นตัววัด ถ้าจะวัดตอนที่ท่านอยู่ในอำนาจ 5 ปี 44-49 แล้วมาเทียบกับวันนี้ โอเค มันก็อาจจะมีส่วนที่เปลี่ยน อาจจะมีส่วนที่ลดไปบ้าง แต่ถ้าวัดจากช่วง 17 ปีที่ไม่อยู่แล้วกลับมาแล้วได้แค่นี้ ขึ้นอยู่กับมุมมองจริงๆ

 

ณัฐวุฒิ : ที่จริงผมไม่ใช้คำว่าได้แค่นี้ด้วย ผมว่าได้ขนาดนี้นะ ได้ขนาดนี้ 

 

วราวิทย์ : ใช่ครับ ความหมาย คำนิดเดียวนะ มันเปลี่ยน ความหมายในการประเมินของ ของคุณณัฐวุฒินะครับ แต่ข่าวว่า อันนี้ข่าวว่านะ เห็นทีม บ.ก.เนชั่นเค้าตรวจสอบกันมา คุณทักษิณไม่พอใจ เตรียมจะเช็กบิลเดี๋ยวกลับมาจากมาเลเซีย คุณณัฐวุฒิจะเป็นหนึ่งในคนที่ถูกเช็กบิลด้วยรึเปล่า 

 

ณัฐวุฒิ : คือไอ้คำว่าเช็กบิลอย่างงี้ผมไม่เคยได้ยินนะครับ ส่วนคำว่าไม่พอใจก็ยังไม่ได้ยินเช่นเดียวกัน เพราะว่าถ้ามีความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ผมควรจะได้ยินบ้างแล้ว แต่ถ้าพูดว่า ท่านมาแล้วเนี่ย จะต้องมีการมาสรุปบทเรียน มีการมาประเมินจุดอ่อนจุดแข็งของทุกสมาคมทุกจังหวัด คือที่ชนะก็ต้องประเมินนะครับ ไม่ใช่ว่าไอ้ชนะแล้วก็แล้วกันไป แล้วก็มาไล่บี้แต่หาว่าไอ้ที่ไม่ชนะมันเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่ ผมคิดว่าการทำงานที่ถูกต้องเนี่ย

ก็คือต้องเอาทุกจังหวัดมาวางบนโต๊ะ แล้วเอ็กซเรย์กันซิให้ชัด ว่าในจังหวัดไหนเราพบเห็นอะไรบ้าง ที่จะเอามาเป็นบทสรุป ที่จะเอามาเพื่อเป็นต้นทุนในการเดินหน้าต่อ ดังนั้น ถ้าหากว่าจะมีการพูดจากันเรื่องนี้เนี่ย ผมคิดว่ามันเป็นการสรุปบทเรียน เป็นการทำการบ้านเพื่อรอบต่อต่อไป 

 

วราวิทย์ : คงไม่ใช่ความหมายในแง่จะมาเล่นงานใครที่ทำให้ผลการเลือกตั้งมันออกมาเป็นแบบนี้ 

 

ณัฐวุฒิ : ก็อย่างที่ผมพูด ว่ามันชนะด้วยกันแพ้ด้วยกัน

 

วราวิทย์ : โทษใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้

 

ณัฐวุฒิ : มันไม่ได้ครับ 

 

วราวิทย์ : ถ้าลงในนามพรรคแล้ว 

 

ณัฐวุฒิ : ใช่ครับ ถ้าหากว่า การทำงานของใครคนหนึ่งคนใดในสนามเลือกตั้ง มันยังมีข้อบกพร่อง มันยังมีจุดที่ไม่ได้ตามที่ควรมันจะเป็นเนี่ย ก็ต้องมีคำอธิบาย ต้องมีเหตุต้องมีผล และสิ่งเหล่านี้ก็จะต้องถูกเก็บบันทึกไว้ ว่าไอ้ที่แบบเนี้ย ผลคะแนนมันเลยออกมาอย่างที่ว่า แล้วครั้งต่อไปอย่าให้มันเกิดแบบนี้อีก หรือครั้งต่อไปจะทำยังไงให้มันแข่งแรงมากกว่านี้ได้

 

วราวิทย์ : เพราะถ้าไปโทษใครคนใดคนหนึ่ง โทษทีมทำงาน เดี๋ยวทีมทำงานก็โทษกลับมา ก็เพราะคุณทักษิณมันลงมันก็ได้เหมือนกันใช่มั้ย ก็ต้องเป็นความรับผิดชอบร่วมกันในทีม

 

ณัฐวุฒิ : ผมว่าทุกคนในทีมที่ทำงานด้วยกันเนี่ย เรามองเห็นภาพนี้แล้ววิธีทำงานของพรรคเพื่อไทยเนี่ย เราก็ทำกันเป็นทีมเนี่ยครับทุกคนมีบทบาทหน้าที่ตัวเองและฟังความคิดเห็นของกันและกัน เมื่อจบยังไงก็เดินหน้า ไปตามที่มีข้อสรุป

 

วราวิทย์ : คุณณัฐวุมิคิดเห็นยังไงกับ 2 ประเด็น

1. พรรคประชาชนปักธงได้ 1 จังหวัด กังวลว่าจะกลายเป็นโมเดล ในแง่ของการแสดงฝีมือ ในการบริหารแล้วส่งผลต่อการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า

2. ก็คือภูมิใจไทย แม้ว่าจะไม่ได้ส่งในนามพรรคก็ตาม แต่เครือข่ายก็เข้ามา มันเป็นสัญญาณอันตรายสำหรับพรรคเพื่อไทยหรือเปล่า

 

ณัฐวุฒิ : เป็นสัญญาณว่าไม่มีงานง่ายสำหรับฝ่ายไหนเลย ถ้าพูดถึงการเลือกตั้งคราวหน้า ผมถึงบอกว่าภาพการเมืองแบบสามก๊กที่ผมพยายามเสนอเนี่ย มันยังคงอยู่และมันจะเป็นไปเช่นนี้ในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งถัดไป

จะไม่มีก๊กหนึ่งก๊กใดได้คะแนนเกินครึ่ง และการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นการจับมือกันระหว่างสองในสามก๊กนี้อย่างแน่นอน ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น พอผมพูดคำว่าสามก๊กบางคนก็บอกว่าเหลวไหลมันจะเอาวรรณกรรมสามก๊กมาอธิบายการเมืองแบบนี้ได้ยังไงคุณจะใช้คำว่าสามสีสามฝ่ายสามพรรคสามข้างอะไรก็ได้แต่ผมใช้คำว่าสามก๊กเนี่ยเพราะว่ามันจำง่ายเท่านั้นเอง

 

วราวิทย์ : แต่ไม่ได้เอาตัวละครจากนิยายใส่ว่าใครมีลักษณะนิสัยแบบไหน ตามวรรณกรรมถูกไหม

 

ณัฐวุฒิ : ครับ

 

จบศึกเลือกตั้ง อบจ. ภาคต่อการเมือง 3 ก๊ก

 

ณัฐวุฒิ : คุณจะเรียกมันว่าสามติ่ง สามตุ่ม สามมุมอะไรก็แล้วแต่แต่ว่าข้อเท็จจริงทางการเมืองรูปธรรมของมันเนี่ยมันจะเป็นไปแบบนี้แล้วผมก็ยังพูดต่อไปว่าถึงที่สุด ณ ช่วงเวลาของการเลือกตั้งใหญ่พรรคที่จะตอบยากหรือก๊กที่จะตอบยากที่สุดหรือว่าจะจับหรือไม่จับมือกับใครอย่างเด็ดขาดก็คือก๊กพรรคประชาชน

 

วราวิทย์ : เดี๋ยวประเด็นนี้ผมจะขยายความต่อในเบรกที่สองนะ ขอย้อนกลับมาเรื่องผลการเลือกตั้งลำพูน เนื่องจากว่าลำพูนเนี่ยติดกับเชียงใหม่ แล้วไซส์มันเล็กกว่าในแง่ของการบริหารถ้ามองกันดูเนี่ยความหลากหลายมันไม่เท่ากับเชียงใหม่อาจจะบริหารได้ง่ายกว่ากังวลไหมว่ามันจะกลายเป็นโมเดลที่ทำให้พรรคประชาชนได้แสดงฝีมือการบริหารเปรียบเทียบให้เห็นเลยติดกับเชียงใหม่เลยเนี่ยแล้วก็โคนแชมป์เก่ามาด้วยเนี่ยมันจะถึงขั้นทำให้เขาได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า

 

ณัฐวุฒิ : ผมว่ามันไม่มีเรื่องทางผมต้องกังวลนะ

 

วราวิทย์ : ถ้าทำได้ดี

 

ณัฐวุฒิ : ถ้าเขาทำได้ดีประชาชนได้ประโยชน์ผมจะต้องกังวลทำไมในวันที่ประชาชนจะได้ประโยชน์ ผมว่าฝ่ายที่ต้องกังวลคือฝ่ายพรรคประชาชน 

 

วราวิทย์ : ความกดดันอยู่ที่เขา

 

ณัฐวุฒิ : ใช่ครับ ผมไม่กังวลเลยนะครับ ทำงานให้เต็มที่ทำงานให้มันเกิดผลเถอะถ้าคนลำพูนมันจะได้ประโยชน์จากการมีนายกอบจใท่านนี้ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้วต้องอนุโมทนาส่วนว่ามันจะไม่ดีมันจะส่งผลทางการเมืองยังไงอันนั้นเป็นเรื่องที่พรรคประชาชนต้องคิด

 

วราวิทย์ : เขาก็รับผิดชอบส่วนของเขาเองส่วนท้องถิ่นที่เป็นสีน้ำเงินเป็นภูมิใจไทยมันจะส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้ามากน้อยขนาดไหนเพราะทุกคนก็พูดเหมือนกันหมดว่านี่เป็นมือเป็นไม้ในแง่ของการวางฐานการเลือกตั้งครั้งหน้า

 

ณัฐวุฒิ : ก็เห็นว่าเครือข่ายของพรรคภูมิใจไทยเขาก็มีกล้ามเนื้อของเขาอยู่เขาก็มีความแข็งแรงในทางการเมืองชนิดที่ใครก็ประมาทเขาไม่ได้ในทุกสนามในทุกพื้นที่มันก็เลยขึงกัน 3 ฝ่ายอย่างเงี้ยครับ คำตอบสุดท้ายจึงอยู่ที่ประชาชน ถ้ามองจากมุมของพรรคเพื่อไทยเนี่ย สนาม อบจ. คราวนี้ เราเจอทั้งสองแบบนะครับ เราเจอทั้งงานกระแส ซึ่งพรรคประชาชนเขาถนัดในการทำงานการเมืองแนวนี้ เราเจอทั้งงานจัดการทางการเมืองภาคสนาม 

 

วราวิทย์ : แหม นึกว่าจะใช้คำว่างานกระสุน  

 

ณัฐวุฒิ : ไม่ฮะ 

 

วราวิทย์ : ปกติกระแสมันต้องตรงข้ามกับกระสุนนะ 

 

ณัฐวุฒิ : ไม่ได้ฮะ แล้วแต่ใครจะจับคู่ แต่ผมบอกว่าเราเจอกับการจัดการทางการเมืองภาคสนาม ในแบบของเครือข่ายพรรคภูมิใจไทย ดังนั้นเนี่ย โจทย์ของพรรคเพื่อไทย เราก็เห็นอยู่แล้วว่าคู่ต่อสู้มันก็จะเจอกันอยู่ 

 

วราวิทย์ : เจอกัน 2 แบบ

 

ณัฐวุฒิ : เจอกันอยู่ในสภาพเนี้ย แล้วแต่ว่าเราจะเลือกใช้ยุทธวิธีหรือวางยุทธศาสตร์ในการบรรลุเป้าหมายยังไง 

 

จบศึกเลือกตั้ง อบจ. ภาคต่อการเมือง 3 ก๊ก

 

ติดตามการขยายความ ถึงเหตุที่ทำไมยังมองว่าเป็นภาคต่อของการเมืองสามก๊ก ยาวไปถึงการเลือกตั้งในปี 2570 รวมถึงนิยามของบ้านใหญ่ ในมุมของคุณณัฐวุฒิ 

 

ติดตามต่อได้ที่