svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

”เศรษฐา“ นายกฯผิดเวลา? เผชิญวิบากกรรมถูกเขย่าเก้าอี้

”เศรษฐา“ นายกฯผิดเวลา? เผชิญวิบากกรรม กับเหตุผลที่ต้องกลายเป็นเป้า ถูกเขย่าเก้าอี้ ทั้งที่กำลังทำงานสนุก เปิดเกมรุกทุกมิติ

เกมหักดีล “อดีตนายกฯทักษิณ” มีกูรูการเมืองหลายคนวิเคราะห์ว่า เป้าหมายหลักที่แท้จริง คือการ “เปลี่ยนตัวนายกฯ” 

คนที่ยืนยันข้อมูลนี้ หนักแน่นที่สุดคือ “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน  โดยแนววิเคราะห์ของ “ตู่ จตุพร“ คือ การกลับเมืองไทยของอดีตนายกฯทักษิณ มี “มหาดีล” เป็นหลักประกัน 

เงื่อนไขแลกเปลี่ยนสำคัญคือ “เศรษฐา” จะได้เป็นนายกฯ แต่จะต้อง “อยู่ไม่นาน” และขณะนี้ “หมดเวลาแล้ว” 

แต่การปรับ ครม.ที่ผ่านมา ไม่มีการเปลี่ยนตัวนายกฯ ทำให้เกิดปฏิบัติการ “หักดีล” 

 

1.ไฟเขียวให้ 40 สว. ยื่นถอดถอน “นายกฯเศรษฐา” ผ่านประเด็นคุณสมบัติ โดยอ้างเหตุการเสนอแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี

ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายหลายคน มองว่าแปลกที่มติศาลรัฐธรรมนูญ รับวินิจฉัยด้วยคะแนนเสียงถึง 6 ต่อ 3 เพราะตัวความที่เป็น “ต้นเหตุแห่งคำร้อง” คือ นายพิชิต ได้ลาออกไปแล้ว และในเอกสารแถลงมติศาล ยังมีการลงชื่อตุลาการเสียงข้างน้อยที่โหวตในคำร้องนี้ทุกประเด็น แม้จะเป็นมาตรฐานใหม่ของศาล นำมาซึ่งความโปร่งใส แต่อีกด้านหนึ่งก็ถูกมองอย่างสงสัยเหมือนกันว่า “มีอะไรลึกๆ กันหรือไม่” 

2.หลังจากมีข่าว 40  สว.ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีการสร้างกระแสให้ “นายกฯเศรษฐา” ลาออก พร้อมกับนายพิชิต เพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลม คือ ถ้าลาออกทั้งคู่ ทุกอย่างจบแน่ แต่เมื่อ “นายกฯเศรษฐา” ไม่ลาออก แต่ใช้วิธี “เสียม้า...รักษาขุน” จึงทำให้มีปฏิบัติการ “สั่งฟ้องอดีตนายกฯทักษิณ” ในคดี 112 ตามมา 

"ตู่ จตุพร" เดินสายให้สัมภาษณ์ช่วงนี้ ตอกย้ำว่า เงื่อนไขที่ฝ่ายอำนาจเก่ายื่นกับอดีตนายกฯทักษิณ คือ “นายกฯเศรษฐ” ต้องลาออกก่อนวันที่ 18 มิ.ย.นี้เท่านั้น 

กางจุดเด่น-จุดอ่อน “นายกฯเศรษฐา”

"กูรูการเมือง" อีกหลายคน เห็นคล้อยตาม “ตู่ จตุพร“ เพราะเชื่อว่า ก๊กอำนาจเก่า-อนุรักษ์นิยม ไม่น่าจะกล้าหักกับ “ก๊กเพื่อไทย” แต่ที่เปิดปฏิบัติการโหด 2  ระลอกซ้อนๆ ก็เพื่อสั่งสอน และดึงสถานการณ์ให้กลับมาอยู่ในดีลเดิม หรือสร้างดีลใหม่ ต่อรองกันใหม่ เท่านั้น

แต่ผลก็คือ ”นายกฯเศรษฐา“ กลายเป็นเป้า ถูกเขย่าเก้าอี้ ทั้งที่กำลังทำงานสนุก เปิดเกมรุกทุกมิติอยู่พอดี 

ทั้งนี้ต้องยอมรับ จุดเด่นของ “นายกฯเศรษฐา” ที่ได้รับคำชื่นชม และไม่มีใครตำหนิอะไรได้เลย ก็คือ 

  • ไม่ขยันทำงานจริง ถูกพูดถึงในแง่ที่ว่าเป็นนายกฯไทยที่ขยันที่สุดคนหนึ่ง 
  • เล่นการเมืองน้อยมาก 
  • พยายามสะสางปัญหาคั่งค้างของประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐกิจ 
  • มีสัมมาคารวะ ไม่ตอบโต้ทางการเมืองอย่างรุนแรงโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะผู้ที่อาวุโสกว่า
  • ควบคุมอารมณ์ได้ดีพอสมควร
  • เดินทางไปต่างประเทศมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 20 ประเทศ
  • เดินทางลงพื้นที่ต่างจังหวัดของประเทศไทยแทบจะครบทุกจังหวัด
  • ประชุม ครม.สัญจร
  • เรื่องเศรษฐกิจ พยายามแก้ไขปัญหาดอกเบี้ย ช่วยภาคธุรกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี เป็นนายกฯที่เชิญผู้ว่าฯแบงก์ชาติมาพบ เรียกว่าถี่ที่สุดคนหนึ่งก็ว่าได้

ความโชคร้ายของ “นายกฯเศรษฐา” คือ 

  • เป็นนายกฯในช่วงที่ “อดีตนายกฯทักษิณ” กลับไทยพอดี ทำให้มี “ฟิกเกอร์ทางการเมืองอีกคน” ที่มีความสำคัญในแง่อำนาจบารมี และสัญลักษณ์มากกว่า ดึงความสนใจไป
  • เป็นนายกฯที่ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ไม่มี สส.ในมือ แต่เป็น “แคนดิเดตนายกฯ” ที่มาจากภาคธุรกิจ ซึ่งพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อ และให้การสนับสนุนเท่านั้น 
  • เป็นนายกฯที่ไม่ได้เป็น สส. และเป็นหน้าใหม่ทางการเมือง ไม่มีฐานเสียง ไม่มีพื้นที่ ไม่มีบารมีมากพอ 
  • เป็นนายกฯจากพรรคเพื่อไทย ในยามที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นเอกภาพ ไม่ได้มีอำนาจรวมศูนย์เพียงหนึ่งเดียว แต่มีผู้นำหลายคน ทั้ง “อดีตนายกฯทักษิณ” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ คุณหญิงพจมาน เจ๊แดง และคุณอุ๊งอิ๊งค์ 
  • เป็นนายกฯในช่วงที่การเมืองแบ่งเป็น 3 ก๊ก และมีแนวคิดขัดแย้งกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม แต่กลับต้องจับมือกันเป็นรัฐบาล รวมทั้งทำงานร่วมกัน 
  • เป็นนายกฯท่ามกลางสังคมการเมืองขัดแย้ง แตกแยก แย่งชิง เอาชนะ และใช้นิติสงครามเข้าห้ำหั่นกัน 
  • เป็นนายกฯในห้วงเวลาที่พรรคก้าวไกลมีความนิยมเหนือกว่า พรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคอันดับหนึ่ง และยังมีเซเลบการเมืองตัวพ่ออย่าง ”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์“

ทั้งหมดนี้เองที่เป็นตัวฉุดรั้ง ทำให้ “นายกฯเศรษฐา” อยู่ในสภาพ ขยันเท่าไหร่ แต่คะแนนก็ไม่ขยับ และยังโดนคดีผูกขา ทั้งในศาลรัฐธรรมนูญ และมีคดีที่ถูกร้องในองค์กรอิสระอื่นๆ อีก เพียงแต่ยังไม่หยิบขึ้นมาเป็นประเด็นเท่านั้นเอง และนี่จึงกลายเป็น นายกฯผู้น่าสงสาร