
7 กุมภาพันธ์ 2567 ถือเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและประชาคมโลก โดยเฉพาะปัญหาฝุ่น PM2.5 นับวันยิ่งกลายเป็นภัยใกล้ตัวที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต รวมถึงเศรษฐกิจพื้นที่ทับซ้อนระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งวันนี้ "ฮุน มาเนต" นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีกำหนดการเยือนไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อร่วมคุยและแก้ไขปัญหาดังกล่าวร่วมกับรัฐบาลไทย
โดย "นายเศรษฐา ทวีสิน" นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ให้การต้อนรับ ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา พร้อมคณะ ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี ซึ่งนับเป็นผู้นำประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียนประเทศแรก ที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
นายเศรษฐา และ นายกฯกัมพูชา ได้ร่วมตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า จากนั้นนายเศรษฐา และ ฮุน มาแนต ได้หารือข้อราชการเต็มคณะ ที่ตึกภักดีบดินทร์ ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ประเทศ จะร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลง และแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจ ก่อนที่จะมีการแถลงข่าวร่วมกันในเวลาประมาณ 11.40 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน
อย่างไรก็ตาม สำหรับการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการครั้งนี้ของนายกฯกัมพูชา ถือเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นโอกาสที่จะได้หารือกันในระดับทวิภาคี ในการขยายความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน การเพิ่มปริมาณการค้าและการลงทุน การส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านการคมนาคมขนส่ง และการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน รวมถึงการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนสองประเทศ
นอกจากนี้ ประเด็นข้อหารือที่สำคัญและต้องจับตา คือ แนวทางในการควบคุมและแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 และหมอกควัน ที่พัดผ่านจากกัมพูชาจากการเผาไหม้ ส่งผลกระทบให้พื้นที่ภาคกลาง และกรุงเทพมหานครมีฝุ่น PM2.5 จำนวนมาก
ซึ่งก่อนหน้านี้นายเศรษฐา ออกมาเปิดเผยว่าประเทศไทยพร้อมให้การสนับสนุนในเรื่องของอุปกรณ์ เนื่องจากกระทรวงเกษตรและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติของประเทศกัมพูชา ยังคงขาดแคลนเครื่องมือ
ขณะเดียวกัน ยังต้องจับตาการเจรจาประเด็นพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในเรื่องของเขตแดน หลังมีการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ทำให้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เกาะกูด จ.ตราด รวมไปถึงการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางพลังงาน Overlapping Claims Area หรือ OCA ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ทางพลังงานที่คาดว่ามีก๊าซธรรมชาติอยู่เป็นจำนวนมาก คิดเป็นมูลค่าหลายล้านล้านบาท หากการเจรจาประสบผลสำเร็จ จะทำให้ค่าครองชีพ โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าของประเทศไทยลดลง
โดยปัจจุบันเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ยังไม่มีความคืบหน้าในการแก้ไขเป็นเวลายาวนานกว่า 22 ปี กับอีก 7 รัฐบาล นับตั้งแต่รัฐบาล "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯ ที่มีการลงนามบันทึกข้อตกลง หรือ MOU เมื่อปี 2544 ซึ่งรัฐบาลนายเศรษฐา จะใช้โอกาสนี้ ในการเจรจาหาสมดุลที่ลงตัว เพื่อหาทางออกร่วมกัน
เอกสารความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ของไทยกับกัมพูชา ทั้งหมด 5 ฉบับ ประกอบด้วย
จากนั้นผู้นำทั้งสองประเทศแถลงข่าวร่วม ก่อนที่นายกรัฐมนตรีและภริยาเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงรับรองอาหารกลางวันแก่นายกรัฐมนตรีและภริยากัมพูชา
โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรียินดีกับความร่วมมือทวิภาคีของทั้งสองประเทศที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วครอบคลุมในหลายประเด็น นับตั้งแต่ที่หารือร่วมกันเมื่อครั้งที่ได้ไปเยือนกัมพูชาอยางเป็นทางการ เมื่อเดือน ก.ย. 2566 ที่ผ่านมา และการเดินทางมาเยือนไทยครั้งนี้ของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะเป็นโอกาสที่ดีในการติดตามความคืบหน้าของแต่ละประเด็นร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายได้หารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ ดังนี้
ด้านความสัมพันธ์
นายกฯขอบคุณสำหรับการสนับสนุนการเปิดสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ซึ่งไทยตั้งเป้าหมายที่จะเปิดในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 นี้ และพร้อมอำนวยความสะดวกให้แก่กัมพูชาในการเปิดสถานกงสุลใหญ่กัมพูชา ณ จ.สงขลา เช่นเดียวกัน โดยนายกฯ เชื่อมั่นว่าการเปิดสถานกงสุลจะเปิดโอกาสให้ไทยและกัมพูชาได้ส่งเสริมความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่มีร่วมกันให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น
ด้านการค้าขายและการลงทุน
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่เพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนทวิภาคีให้มากขึ้น โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกการไปมาหาสู่ของประชาชน และการค้าตามแนวชายแดนให้มากขึ้น ลดการอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มนำไปสู่ปริมาณการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาให้มากขึ้น นอกจากนี้ กัมพูชายังขอให้ทั้งสองฝ่ายหารือเพิ่มเติมถึงแนวทางการเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษในชายแดนไทยและกัมพูชา บริเวณ จ.สระแก้ว และปอยเปตของกัมพูชา
ด้านความมั่นคงพลังงาน
ทั้งสองฝ่ายต่างมองว่าสถานการณ์โลกปัจจุบันส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานของทั้งไทยและกัมพูชา พร้อมตกลงที่จะกระชับความร่วมมือในด้านความมั่นคงด้านพลังงาน มีการตกลงที่จะหารือเพิ่มเติมเพื่อแสวงหาประโยชน์ร่วมกันจากทรัพยากรด้านพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนกันระหว่างทั้งสองประเทศ (Overlapping Claims Area: OCA)
ด้านการพัฒนาชายแดนและการท่องเที่ยว
ไทยและกัมพูชาต่างให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ชายแดน ซึ่งผู้นำทั้งสองฝ่ายพร้อมทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ประชาชนชายแดนทั้งสองฝั่ง ทั้งการประสานความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด การยกระดับจุดผ่านแดนระหว่างกัน รวมทั้งปรับปรุงข้อตกลงว่าด้วยการข้ามพรมแดน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวบริเวณชายแดน โดยไทยได้เสนอให้หารือเพิ่มเติม เพื่อประสานความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวของแต่ละประเทศในภูมิภาค ให้นักท่องเที่ยวสามารถท่องเที่ยวในไทย และท่องเที่ยวต่อไปยังกัมพูชา และประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ได้ในคราวเดียว ด้านนายกรัฐมนตรีกัมพูชาพร้อมให้หารือร่วมกันระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในระดับภูมิภาคร่วมกัน
ด้านความร่วมมือประเด็นหมอกควันข้ามแดน (PM 2.5)
ผู้นำไทยและกัมพูชาต่างเน้นย้ำถึงการแก้ปัญหาหมอกควัน เพื่ออากาศที่ดีของประชาชนไทยและกัมพูชา โดยพร้อมแบ่งปันข้อมูลและแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้ สนับสนุนการจัดการปัญหาการเผาไหม้ทางการเกษตร พร้อมเสนอให้มีการขยายความร่วมมือต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือกันระดับภูมิภาค
ด้านอาชญากรรมข้ามชาติ
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะแก้ไขปัญหาเครือข่ายหลอกลวงทางไซเบอร์ โดยเพิ่มการเฝ้าระวังตามแนวชายแดน ทั้งการป้องกันการลักลอบค้ายาเสพติด สินค้าเถื่อน และการกระทำผิดกฎหมายอื่น ๆ โดยผู้นำไทยและกัมพูชายืนยันที่จะการดำเนินการร่วมกันในการกวาดล้างผู้กระทำผิด พร้อมแสวงหาความร่วมมือที่ใกล้ชิดเพิ่มเติมระหว่างตำรวจไทยและกัมพูชาในการจับกุมผู้กระทำความผิด
ด้านแรงงาน
นายกฯกัมพูชาขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญกับแรงงานกัมพูชา ในฐานะส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย พร้อมขอให้ไทยอำนวยความสะดวกแรงงานกัมพูชาที่ต้องการกลับไปเยี่ยมบ้านในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งตรงกับปีใหม่ของกัมพูชาด้วย ด้านนายกรัฐมนตรีพร้อมนำไปพิจารณา และเน้นย้ำถึงการดูแลสวัสดิภาพของแรงงานในไทย และยินดีส่งเสริมให้แรงงานกัมพูชาเข้าถึงสิทธิประโยชน์และสวัสดิการทางสังคมของไทยด้วย