
13 มกราคม 2567 พล.อ. ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานในการจัดแสดงกิจกรรมของทหารในงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2567 ของกองบัญชาการกองทัพไทย ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
การจัดงานในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แนวคิด Edutainment (ความรู้คู่บันเทิง) แบบบูรณาการอย่างทั่วถึง เน้นความเรียบง่าย คุ้มค่า ประหยัด ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีรูปแบบการจัดพื้นที่การเรียนรู้ แบ่งเป็น 4 พื้นที่ ประกอบด้วย
พื้นที่การเรียนรู้ที่ 1 “Duty First” แสดงถึงหน้าที่ของกองทัพในการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ 2 กษัตริย์นักพัฒนา เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้พระอัจฉริยภาพในด้านต่าง ๆ ของทั้ง 2 พระองค์ เกิดความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป
พื้นที่การเรียนรู้ที่ 2 “Support to MOD/Gov” แสดงถึงบทบาทของกองทัพในการสนับสนุนนโยบายของกระทรวงกลาโหม และรัฐบาล โดยจัดแสดง Project The TEN ของนักศึกษาวิทยาลัยวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่น 66 รวมทั้งกิจกรรมต่าง ๆ ของนักเรียนทหาร และนักเรียนพยาบาล ในสังกัดกระทรวงกลาโหม เพื่อสนับสนุนการดำเนินการของกระทรวงกลาโหมและรัฐบาลในด้านต่าง ๆ
พื้นที่การเรียนรู้ที่ 3 “Modernization” แสดงถึงการพัฒนากองทัพไปสู่ความทันสมัย โดยจัดแสดงแสนยานุภาพของอาวุธยุทโธปกรณ์ และอากาศยานทางทหาร รวมถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาขีดความสามารถด้านไซเบอร์
พื้นที่การเรียนรู้ที่ 4 “People First” แสดงถึงศักยภาพของกองทัพในการพัฒนาประเทศและการช่วยเหลือประชาชน โดยจัดแสดงยานพาหนะและยุทโธปกรณ์ในการพัฒนาประเทศ และบรรเทาภัยพิบัติเพื่อช่วยเหลือประชาชน ในยามวิกฤติ
“บิ๊กต่อ” จัดเต็มเปิดรั้วฐานที่มั่น กองทัพบก จัดงานวันเด็ก
พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานเปิดกิจกรรมทางทหาร เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567 โดยกิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้น เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับรู้และเข้าใจภารกิจของทหาร รวมทั้งได้สัมผัสถึงขีดความสามารถและประสิทธิภาพของอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพบก
อีกทั้งเป็นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม การสร้างความรักความสามัคคี ความเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม การเทิดทูนสถาบันหลักของชาติ ควบคู่ไปกับกิจกรรมบันเทิงต่างๆ รวมทั้งการนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับพระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดจนพระราชปณิธานในการสืบสาน รักษา ต่อยอด และการปลูกฝังจิตอาสา รวมทั้งพระบรมราโชวาทที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567 เพื่อให้เด็กและเยาวชนน้อมนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต และเป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญของชาติต่อไป
ทั้งนี้ ผบ.ทบ.ได้รับชมการแสดงจากน้องๆ เด็กและเยาวชน 5 ชุดการแสดง ได้แก่ การแสดงยิมนาสติก การแสดงนักเต้นเด็กเล็ก การแสดงสุนทรพจน์ การแสดงหุ่นละครเล็ก ชุด “บุตรพญาหนุมาน จากเยาวชนคณะแม่นายสิบปะธรรมและเด็กพิการทางเสียง และการแสดงวงดนตรีร็อคแบน ชื่อวงไมน์ฮาร์ท จากโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์
ผบ.ทบ. กล่าวให้โอวาทตอนหนึ่งว่า ไม่บ่อยนักที่กองทัพบกเปิดพื้นที่ตรงนี้ให้ทุกคนได้เข้ามาเยี่ยมชมม วันนี้นับเป็นโอกาสที่ดี รู้สึกปลื้มใจที่เห็นเด็กร่วมกันแสดงออก มีกิจกรรม และแสดงศักยภาพว่าลูกหลานของเราเป็นบุคลากรที่มีความสามารถ หากเปรียบเทียบกับตนตอนเด็กคงทำแบบนี้ไม่ได้ วันนี้นับเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับเด็กๆ และผู้ปกครอง เรานำยุทโธปกรณ์มาให้ดูว่าทหารเราใช้สิ่งเหล่านี้ในการปฏิบัติภารกิจรักษาอธิปไตยของประเทศชาติ และยุทโธปกรณ์หลายอย่างไม่ใช่ดูแลทหารอย่างเดียว แต่ได้ดูแลประชาชนในยามประสบสาธารณภัยต่างๆด้วย ทหารตามรัฐธรรมนูญไม่ใช่แค่มีหน้าที่ปกป้องประเทศชาติ ยุทโธปกรณ์เหล่านี้มาจากภาษีพวกท่าน และดูแลพวกท่าน และจะได้เห็นที่มาที่ไปความเป็นชาติ และกองทัพ เพราะน้องๆ หลายคนไม่ค่อยมีโอกาสเข้ามา เพราะมองว่าพื้นที่ทหารเป็นพื้นที่สงวน แต่เรายินดี หากจะเข้ามาดูพิพิธภัณฑ์กองทัพบกของเรา
สำหรับกิจกรรมที่สำคัญนอกเหนือจากการแสดงบนเวที ได้แก่ การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์กองทัพบกเฉลิมพระเกียรติ โดยมัคคุเทศก์น้อยจะให้ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของกองทัพบก นับตั้งแต่เริ่มมีการสถาปนาอาณจักรไทยจนถึงปัจจุบัน, นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ, กิจกรรมแนะนำสถาบันการศึกษาทางทหารเ, การแสดงยุทโธปกรณ์กองทัพบก ทั้งในด้านการป้องกันประเทศ และการบรรเทาสาธารณภัย, ตลอดจนการแสดงกลางแจ้ง ประกอบด้วย การฝึกการเรียนรู้การดำรงชีพในป่า จากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ, การแสดงยิงปืนฉับพลันของ นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, การแสดงสุนัขทหารจากกรมการสัตว์ทหารบก และการแสดงรำมวยไทย โดยศูนย์การทหารราบ และการยิงปืนเป้าเล็งด้วยเลเซอร์ ของหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน รวมทั้งเพลิดเพลินกับการแสดงดนตรีจากวงดุริยางค์กองทัพบก เป็นต้น
ทอ.จัด AIR SHOW บินปล่อยควันสี
พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พร้อมนายกสมาคมแม่บ้านทหารอากาศ เป็นประธานการจัดงาน วันเด็กแห่งชาติประจำปี 2567 ณ ฝูงบิน 601 กองบิน 6 โดยภายในงานฯ มีกิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่
การแสดงภาคการบิน (AIR SHOW) ของเครื่องบินแบบต่าง ๆ ได้แก่ การบินผ่านสนามบิน และการบินผ่านปล่อยควันสี
การตั้งแสดงยุทโธปกรณ์ และการตั้งแสดงอากาศยาน จำนวน 12 แบบ ได้แก่ T-50, F-16 A/B, AU-23A, EC725, F-5 E/F, Alpha Jet, CT/4E, A-340, DA-42, T-6C, C-130H, ATR, Chicken, Daimond Star BT-67, Black Hawk, T-33, T-28, P-64, O-1A และ Gripen เป็นต้น
กิจกรรมอื่น ๆ ได้แก่ การออกบูธนิทรรศการของหน่วยงานต่าง ๆ การแสดงของสุนัขทหาร การแสดง Fancy Drill การแสดงกระบี่กระบอง การแสดง Drum Zeed การแสดงรถเกราะ (1 Condor, V-150) เป็นต้น
นอกจากนี้ มีการแสดงภาคการบินปล่อยควันสี โดยเครื่องบิน Peacemaker (AU-23A) และการแสดงการบินผ่านของเครื่องบิน F-16A/B อีกทั้ง กองทัพอากาศยังได้จัดกิจกรรมงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567 ของส่วนกลางที่ตั้งดอนเมือง ณ พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศและการการบินแห่งชาติ และสนามบินเล็กกองทัพอากาศ (ทุ่งสีกัน)
เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงริเริ่มและมีสายพระเนตรก้าวไกลต่อการบินของประเทศไทย จึงกำหนดให้วันที่ 13 มกราคม ของทุกปีเป็น "วันการบินแห่งชาติ"
ตร.จัดซุ้มกิจกรรมชิงรางวัล
เนื่องในวาระวันเด็กแห่งชาติเวียนมาบรรจบอีกวาระหนึ่งในปีพุทธศักราช 2567 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติที่อาคารที่พักตำรวจส่วนกลางเฉลิมลาภ ถนนพหลโยธิน เขตพญาไท โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาเป็นประธานจัดกิจกรรม
สำหรับภายในงานได้จัดกิจกรรมการแสดงจากบุตรหลานข้าราชการตำรวจ กิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ เพื่อสร้างความสนุกสนาน อาทิ ซุ้มเล่นรางวัล วาดรูประบายสี และการให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม มีบุตรหลานข้าราชการตำรวจและประชาชนในพื้นที่มาร่วมเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก สนุกสนาน ระคนไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ
นอกจากนี้ ยังได้มีการนำม้าตำรวจจากกองกำกับการม้าตำรวจ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ บช.น. มาให้น้อง ๆ ได้ทดลองขี่ พร้อมกันนี้ยังมีการออกบูธให้ความรู้และแจกของรางวัลต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก โดยหน่วยงานอื่น ๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรุงเทพมหานคร
โดยในงานวัยเด็กแห่งชาติปีนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ได้มอบรางวัลเงินทุนการศึกษาและจับฉลากแจกของรางวัลแก่น้อง ๆ ที่มาร่วมงาน พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมตามบูธต่าง ๆ และทักทายน้อง ๆ ที่มาร่วมกิจกรรม อีกทั้งยังได้ร้องเพลง "คนบ้านเดียวกัน" ของไผ่ พงศธร บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนานและมีเด็กมาร่วมเต้นเป็นจำนวนมาก
จากนั้น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ระบุว่า ภาพรวมกิจกรรมวันเด็กในปีนี้นั้นถือว่าดีมาก ๆ เด็ก ๆ มีความสุขและมีรอยยิ้ม เป็นเพราะการจัดกิจกรรมวันนี้ เรามุ่งเน้นที่จะเอาใจของเรามาใส่ใจเด็ก มองว่าในสมัยตอนเด็ก ๆ พวกเราต้องการอะไร เด็ก ๆ ก็ต้องการเช่นนั้นเหมือนกัน อย่างเช่นของรางวัลต่าง ๆ รวมทั้งการลงมาดูกิจกรรมวันเด็กของผู้บังคับบัญชาก็ถือว่าเป็นการให้ความสำคัญและให้ความใส่ใจแก่เด็ก ๆ
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567 โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ให้ไว้ว่า "มองโลกกว้าง คิดสร้างสรรค์ เคารพความแตกต่าง ร่วมกันสร้างประชาธิปไตย" ซึ่งตนมองว่าเป็นคำขวัญที่สอดคล้องกับเด็กเยาวชนในปัจจุบันที่มีความคิดและโลกทัศน์เป็นของตนเอง มีช่องทางการเรียนรู้จากหลายทิศทาง รวมทั้งยังสามารถพึ่งพาตนเองและเดินทางไปไหนมาไหนเองได้ ต่างจากสมัยยุคตนเป็นเด็กที่ยังต้องพึ่งพาพ่อแม่เป็นหลัก ยอมรับว่าเด็กยุคนี้มีความฉลาด มีความกล้า มีพัฒนาการด้านสติปัญญาและร่างกายเพิ่มมากขึ้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างพวกตนต้องให้ความสำคัญและต้องเป็นองค์ประกอบหลักที่ช่วยวางรากฐานสร้างอนาคตให้แก่เด็ก ๆ เพราะอนาคตของประเทศชาติอยู่ในมือของเด็ก ๆ ทุกคน ผู้ใหญ่ก็ควรจะต้องรับฟัง เอาใจเขามาใส่ใจเรา และเปิดโอกาสให้พื้นที่แก่เด็ก ๆ ซึ่งตนเชื่อว่า จะทำให้เด็กและผู้ใหญ่สามารถ อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและประนีประนอมกัน
ส่วนกรณีในช่วงที่ผ่านมาที่มีปัญหาเด็กนักเรียนตีกันนั้น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ตนได้มอบนโยบายให้แก่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงทุกหน่วยงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่นครบาลยันภูธร ในการเฝ้าระวังคัดกรองกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อหากลุ่มเป้าหมายและวางแผนในการป้องกันปราบปราม ซึ่งช่วงที่ผ่านมานั้นทางตำรวจก็สามารถที่จะเฝ้าระวังและจับตาบรรดากลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ ได้อย่างดี อีกทั้งสถาบันการศึกษาก็ให้ความร่วมมือกับทางตำรวจ โดยการทำงานของตำรวจนั้นจะไม่ใช่เพียงแค่ดำเนินคดีกับคู่กรณี แต่จะต้องตัดวงจร ทำลายต้นตอของขบวนการอาชญากรรม ซึ่งจะต้องร่วมมือกันกับทุกองคาพยพในการแก้ปัญหา อันจะช่วยเป็นการสร้างความมั่นใจในการทำลายกลุ่มองค์กรอาชญากรรมขนาดเล็กที่อาจจะพัฒนาเป็นกลุ่มองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ได้ แล้วจะช่วยลดปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นของเด็กนักเรียนได้ อาจจะมีประปรายบ้าง เช่น เผชิญซึ่งหน้ากัน แต่ก็จะไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา
ส่วนประเด็นแนวคิดการแก้ไขกฎหมายกำหนดอายุผู้กระทำความผิด จาก 15 ปี เหลือ 12 ปีนั้น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ตอนนี้ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาและรวบรวมข้อมูลสถิติการวิจัยจากต่างประเทศที่สอดคล้องกับแนวทางการปรับแก้กฎหมายลดอายุผู้กระทำความผิด ซึ่งตนมองว่าเรื่องนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องเป็นผู้ริเริ่มก้าวแรกและตั้งเป้าหมายที่จะศึกษาตกผลึกให้แล้วเสร็จภายใน 3-6 เดือนนี้ เพื่อนำเสนอไปยังรัฐบาลหรือองค์กรด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก่อนนำไปสู่การหารือในการปรับแก้ไขข้อกฎหมายดังกล่าวต่อไป
โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ย้ำว่า แนวคิดดังกล่าวนั้น ตนไม่ได้คิดด้วยตนเอง แต่เป็นแนวทางที่ต่างประเทศดำเนินการไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งก็สอดคล้องกับที่หลายคนมองว่า ทำไมกฎหมายประเทศไทยถึงอ่อนในการเอาผิดกับผู้กระทำความผิดที่เป็นเด็กและเยาวชน รวมทั้งยังมีปัญหา เด็กและเยาวชนกระทำความผิดซ้ำซาก ซึ่งตนมองว่า หากสามารถแก้ไขกฎหมายส่วนนี้ได้ ควบคู่ไปกับขอความร่วมมือกับสื่อมวลชนในการนำเสนอเส้นทางการดำเนินคดีต่าง ๆ ให้ถึงที่สุดในชั้นศาล เพื่อนำเสนอว่า คดีนั้นมีโทษทางอาญาอย่างไร ซึ่งส่วนนี้จะช่วยให้เด็กและเยาวชน รวมทั้งประชาชนทั่วไป ได้เห็นว่ากฎหมายมีโทษเอาผิดกับผู้กระทำความผิดอย่างไร แล้วจะเป็นการช่วยป้องปรามให้เกิดความเกรงกลัวต่อโทษทางอาญาของกฎหมายด้วย โดยภาพรวมก็จะสามารถลดการเกิดคดีอาชญากรรมของเด็กและเยาวชนได้อย่างแน่นอน
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า ปัญหาการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของเด็กและเยาวชนก็เป็นเรื่องสำคัญ ด้วยในปัจจุบันที่เข้าสู่โลกไซเบอร์ที่ทำให้เด็กและเยาวชนสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น ผ่านการเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งต้องยอมรับว่า สื่อสังคมออนไลน์ก็ไม่ได้มีการคัดกรองตรวจสอบข้อมูลจนทำให้เกิดการนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด กลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบและทำให้เด็กเรียนรู้ในทางที่ผิดโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องขอความร่วมมือสื่อมวลชนในการระมัดระวังการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะบางพฤติการณ์กระทำความผิดที่อาจจะกลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบได้ และต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนที่คอยให้ความร่วมมือประชาสัมพันธ์การแจ้งเตือนต่าง ๆ จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะการประชาสัมพันธ์กระจายสู่สื่อกระแสหลัก ก็จะช่วยให้ประชาชนและเด็ก เข้าถึงและเข้าใจในข้อมูลการแจ้งเตือนภัยป้องกันอาชญากรรมของตำรวจได้มากขึ้น
โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เน้นย้ำว่า การให้องค์ความรู้แก่ประชาชน จะช่วยตัดวงจรการก่ออาชญากรรม ลดช่องทางการก่อเหตุของผู้กระทำความผิด และเสริมสร้างการรับรู้เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมได้ รวมทั้งยังประสานความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการปิดเว็บไซต์และคัดกรองเนื้อหาโลกออนไลน์ที่ผิดกฎหมาย เพื่อเป็นการสกัดไม่ให้เข้าถึงเนื้อหาที่ผิดกฎหมายในโลกออนไลน์
อีกปัญหาหนึ่งคือเรื่องการเข้าถึงยาเสพติดที่ง่ายมากขึ้นของเด็กและเยาวชน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ปัญหานี้เป็นปัญหาที่หมักหมมมานาน ควบคู่ไปกับการทะลักเข้ามาของยาเสพติดตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะช่องทางธรรมชาติ แต่ย้ำว่า เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการกำชับเป็นหนึ่งในนโยบาย 3 ด้าน ที่ทางตำรวจจะต้องรับผิดชอบ ประกอบไปด้วย ยาเสพติด การท่องเที่ยว และอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมา ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ร่วมมือกับกองกำลังต่าง ๆ ในการเฝ้าสกัดการนำเข้ายาเสพติดมากขึ้น ซึ่งเบื้องต้นก็สามารถสกัดไม่ให้ลงสู่ภาคใต้ได้ และจะต้องเพิ่มการนำเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ในการเฝ้าสกัดการลักลอบขนยาเสพติด เพื่อลดการสูญเสียของกำลังพล รวมทั้งจะต้องปรับแผนการยุทธวิธีในการเฝ้าระวังยาเสพติดอีกด้วย