4 ตุลาคม 2566 "นายคารม พลพรกลาง" รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นรองโฆษกรัฐบาล ซึ่งถือว่าเป็นงานใหม่ และได้พูดคุยกับ "นายสัตวแพทย์ ชัย วัชรงค์" โฆษกประจำสำนักนายกฯ ว่าจะสนับสนุนร่วมมือกันทำงานโดยไม่ได้มีความกังวลอะไร และมีการพูดคุยว่ามีความสนิทสนมกับทางรัฐมนตรีฝั่งพรรคเพื่อไทยหรือไม่เพื่อความสอดคล้องในการทำงาน
ทั้งนี้ ตนก็ได้อธิบายไปว่าเคยทำงานกับพรรคไทยรักไทย จนมาเป็นพรรคเพื่อไทย และจากพรรคอนาคตใหม่ สู่พรรคก้าวไกล และมาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งการทำงานในครั้งนี้ถือว่าเป็นการให้โอกาสจากผู้ใหญ่พรรคภูมิใจไทย ขับเคลื่อนประเด็นที่เป็นประโยชน์กับรัฐบาลเป็นหลัก และตนก็จะยังคงพูดในเรื่องประเด็นการเมือง ซึ่งตนไม่ใช่ สส. จะพูดประเด็นการเมืองที่ทำให้เกิดความขัดแย้งไม่ได้ แต่หากเป็นประเด็นทางกฎหมายและ 4 กระทรวงของพรรคภูมิใจไทย นายสัตวแพทย์ ชัย ก็จะให้โอกาสตนในการชี้แจง
ขณะเดียวกัน ส่วนตัวจะพูดย้ำครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายถึงการเปลี่ยนช่องทางทางการเมืองว่าตนไม่ใช่ "งูเห่า" เนื่องจากที่ไหนที่ไม่สามารถทำงานให้ประชาชน จะไปอยู่ที่ใหม่ แม้แต่เป็นการทำงานทางการเมือง จริงๆแล้ว ตนก็อยู่ไม่กี่พรรค แม้แต่การจะย้ายมาสังกัดภูมิใจไทย ก็ต้องรอหลังยุบสภาฯก่อน จึงขอความเป็นธรรมจากสื่อมวลชน แต่วันนี้ (4ต.ค.) มีความใจเด็ด มีความเป็นผู้ใหญ่ สิ่งไหนที่เป็นประโยชน์ พูดได้ก็จะพูด แต่ไม่เคยทิ้งอุดมการณ์เพื่อบ้านเมือง
ส่วนมองอย่างไรถึงกรณีที่พรรคก้าวไกลไม่เข้าร่วมคณะกรรมการกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ ที่ "นายภูมิธรรม เวชยชัย" รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เป็นประธานนั้น ซึ่งการทำแบบนี้พรรคก้าวไกลอาจคิดว่า จะไม่ได้รัฐธรรมนูญตามที่คิดไว้ การออกแบบจะไม่เหมือนกัน โดยตนเข้าใจวิธีคิดของพรรคก้าวไกลดี
"เขาคิดว่าอยากทำอะไรที่ได้ดั่งใจเขา เป็นไปไม่ได้หรอก สังคมที่มีคนหลายกลุ่มต้องรวมกัน การเลือกส.ส.ร.ที่จะทำกัน กับที่เขาอยากจะให้เลือกตั้งมาแต่ละจังหวัด เป็นไปไม่ได้ เพราะพรรคการเมืองมีหลายพรรค ประชาชนก็มีหลายกลุ่ม" นายคารม กล่าว
สำหรับกรณีของ "นายปดิพัทธ์ สันติภาดา" รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 นั้น มองว่าเป็นการตีความรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์ แต่พอคนอื่นทำก็ว่าใช้กฎหมายเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์ นี่จึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ชัด และจะลุกลามไป สุดท้ายตนอยากบอกว่า ครั้งที่ตนโหวตสวนมติพรรคก้าวไกล สนใจเรื่องเอกสิทธิ์ โดยเฉพาะเรื่อง ม.112 พรรคยังไม่มีมติขับออก ซึ่งเป็นการขัดมติพรรคและหลักการของพรรค
"แต่นายปดิพัทธ์ ถือได้ว่าพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมาก แต่ไม่ได้อยู่ฝั่งรัฐบาล ไม่อยู่รัฐบาล และมี สส. ไปเป็นรองประธานสภา จึงไม่สามารถเป็นผู้นำฝ่ายค้านได้ โดยใช้วิธีการเลี่ยงเช่นนี้ จึงมองว่า เป็นการเดินทับรอยที่กล่าวหา และว่าคนอื่นไว้ และมองว่า การที่พรรคก้าวไกลทำอะไรเอาแต่ใจตัวเอง การเมืองต้องรวมกัน ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะเดินไปข้างหน้าไม่ได้" รองโฆษกรัฐบาล ระบุ
ส่วนการที่พรรคฝ่ายค้านไม่เข้าร่วมในการร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวมองว่าไม่ทำให้สะดุด เพียงแต่ไม่สมบูรณ์ในทุกมิติ การที่ฝ่ายค้านไม่ร่วม ก็จะดูเหมือนทุกคนไม่เห็นพร้อง อาจจะเกิดความไม่ลงตัวหรือเกิดความขัดแย้ง ในเชิงความคิดว่า เนื้อหาของรัฐธรรมนูญจะไปในรูปแบบไหน
อย่างไรก็ตาม หากมีการเข้าพิจารณาในสภาฯจะตลอดรอดฝั่งหรือไม่นั้น นายคารม กล่าวว่า เขาเป็นเสียงข้างน้อย เราเป็นเสียงข้างมากอยู่แล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญมีการเขียนไว้อยู่แล้วตาม มาตรา 256 ตนคิดว่ารัฐบาลชุดนี้มีการเดินทางการเมืองที่ดี ในสภาฯก็มีเสียงข้างมาก ตนคิดว่าไม่น่ามีปัญหา แต่อาจจะดูไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ ซึ่งการที่พรรคก้าวไกลไม่เข้าร่วม แสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่ต่างกัน