13 กันยายน 2566 วันนี้เป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีของ “รัฐบาลเศรษฐา” เป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ภายหลังการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11-12 ก.ย.2566 โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี รวมถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่มีอำนาจเต็มในการบริหารราชการแผ่นดินเป็นที่เรียบร้อย โดยมีวาระสำคัญที่นำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ทั้งวาระเศรษฐกิจ รวมถึงการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงและข้าราชการการเมือง
สำหรับวาระสำคัญในด้านเศรษฐกิจที่จะเข้าสู่การประชุม ครม.ประกอบด้วย
1.กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะเริ่มต้นเดือน ก.พ.2567 ซึ่งกระทรวงการคลังนำเข้า ครม.เพื่อขอความเห็นชอบในหลักการเพื่อให้เดินหน้าโครงการได้ทันที จากนั้นเสนอรายละเอียดต่อ ครม.พิจารณาอีกครั้ง
ทั้งนี้ในช่วงที่งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 บังคับใช้ไม่ทันในเดือน ก.พ.2567 ที่จะเริ่มโครงการจะดำเนินโครงการก่อนโดยใช้มาตรการกึ่งการคลัง (Quasi-Fiscal Measures) ซึ่งจะยืมเงินจากรัฐวิสาหกิจมาใช้ไปก่อนแล้วรัฐบาลจะตั้งงบประมาณมาชดเชยภายหลัง โดยจะต้องเสนอคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อขยายเพดานจาก 32% เป็น 35% ของสัดส่วนงบประมาณรายจ่ายทั้งหมด ทั้งนี้คาดการณ์ว่านโยบายเงินดิจิทัลจะทำให้เศรษฐกิจปี 2567 ขยายตัวได้ 0.8-1.0%
2.การลดราคาพลังงานน้ำมันและไฟฟ้า โดยกระทรวงพลังงานจะเสนอลดราคาน้ำมันดีเซล โดยสูงสุดอาจลดลงลิตรละ 2 บาท เพื่อให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลงเหลือลิตรละ 30 บาท โดยจะใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเข้ามาดูแล
ส่วนมาตรการการลดราคาค่าไฟฟ้า ครม.จะลดค่าไฟฟ้าลงอีก 20 สตางค์ต่อหน่วย จากเดิมที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศอัตราค่าไฟฟ้างวดสุดท้ายของปี (ก.ย.-ธ.ค.) ที่ 4.45 บาทต่อหน่วย มาอยู่ที่ 4.25 บาทต่อหน่วย โดยใช้วิธีชะลอการจ่ายคืนหนี้ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อให้นำเงินส่วนนี้มาลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชน โดยการลดค่าไฟฟ้าลง 20 สตางค์ต่อหน่วยจะเพิ่มสภาพคล่องและลดค่าใช้จ่ายให้ภาคธุรกิจและครัวเรือน 1.24 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ภาคอุตสาหกรรม 5,500 ล้านบาท ภาคครัวเรือน 3,500 ล้านบาท และภาคบริการ 3,400 ล้านบาท และช่วยเพิ่มกำไรให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมมีกำไรเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.13%
3.มาตรการการพักหนี้เกษตรกร รวมทั้งผู้ที่ประสบภัยจากโควิด-19 โดยจะพักหนี้สินเกษตรกรทั้งต้นและดอกเบี้ย 3 ปี และรัฐบาลจะตั้งงบประมาณชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันการเงินวงเงินที่ใช้ในการชดเชยดอกเบี้ยไม่เกิน 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะให้เกษตรกรและประชาชนที่เดือดร้อนไปขึ้นทะเบียนการพักหนี้
4.มาตรการเตรียมพร้อมรับมือเอลนีโญ โดยนายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมชลประทาน สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ให้เตรียมแผนรองรับภาวะเอลนีโญ และแผนการรับมือสถานการณ์ภัยแล้งที่จะเกิดขึ้นนาน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอ ครม.ด้วย
5.มาตรการวีซ่าฟรี (นักท่องเที่ยวไม่ต้องขอวีซ่า) เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่น โดยจะให้นักท่องเที่ยวจีนไม่ต้องขอวีซ่าเพื่ออำนวยความสะดวกให้เข้ามาท่องเที่ยวไทยมากขึ้น โดยจะเริ่มต้นได้เร็วที่สุดภายในเดือน ก.ย.2566 และสิ้นสุดเดือน ก.พ.2567
นอกจากนี้ จะมีการเสนอ ครม.พิจารณาแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงและข้าราชการการเมืองหลายตำแหน่ง เช่น กระทรวงการคลัง เสนอตั้ง นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เป็นปลัดกระทรวงการคลัง แทนนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่ลาออกจากปลัดกระทรวงการคลังก่อนเกษียณอายุราชการเพื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
ส่วนผู้บริหารกระทรวงการคลังตำแหน่งอื่นจะเสนอ ครม.สัปดาห์ต่อๆไป โดยปลัดกระทรวงการคลังคนใหม่จะพิจารณาเสนอฝ่ายนโยบายก่อนเข้า ครม.ภายในเดือน ก.ย.นี้
นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง จะเสนอนายชูฉัตร ประมูลผล รองเลขาธิการด้านกำกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เป็นเลขาธิการ คปภ.แทนผู้ครบวาระทำงานวันที่ 31 ต.ค.2566 หลังดำรงตำแหน่งมา 2 วาระ รวม 8 ปี