
13 กรกฎาคม 2566 นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) อภิปราย ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) วาระโหวตเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีว่า สิ่งที่ตนเสนอต่อที่ประชุมแห่งนี้ไม่ได้เกิดจากความอคติหรือความไม่ชอบ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล แต่เป็นด้วยหลักสำคัญของรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ที่บัญญัติไว้ชัดเจนว่า ให้รัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมมนูญภายใน 5 ปี ทำหน้าที่สำคัญในการให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี จึงอยากให้ที่ประชุมแห่งนี้ได้พิจารณาเป็นสำคัญ
“นายพิธา ไม่สมควรที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้จะถูกถามว่าจะไม่เลือกนายพิธาตามมติมหาชน หรือประชาชนที่ลงคะแนนเลือกตั้งมา หรือการที่เราจะไม่ทำตามมติมหาชนก็ต้องทำความเข้าใจว่า ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา เป็นการเลือกตั้งที่ประชาชนเลือกแต่พรรคพรรคการเมืองมาเรียบร้อยแล้ว และแต่ละพรรคก็ต้องทำตามฉันทามติของพรรค แต่ ส.ว. ก็ถูกกล่าวถึงโดยถ้อยคำรุนแรงมาตลอด ยืนยันว่าส.ว. ให้ความเคารพประชาชน แต่การทำหน้าที่ของส.ว. ก็แยกส่วนจากเสียงของประชาชนที่ลงคะแนนเลือกตั้งให้ ส.ส. แต่ละพรรค ซึ่งส่วนนั้นจบไปแล้ว”
วันนี้มีกระบวนการที่ให้ประชาชนออกมาแสดงเจตจำนงหลายจังหวัดทั่วประเทศ จนสื่อมวลชนถามตนว่า ไม่กลัวเสียงประชาชนที่สนับสนุนนายพิธา ที่อยู่นอกสภาหรือ ก็ต้องตอบว่า กลัวประชาชนเข้าใจผิดว่า ส.ว. ไม่ให้ความเกรงใจเสียงประชาชน แต่เราคำนึงถึงการทำหน้าที่ ส.ว. ที่ต้องปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมระบุว่า
เสียงประชาชนที่เลือกให้ 8 พรรค มี 25 ล้านเสียง แต่พรรคก้าวไกลได้เพียง 14 ล้านเสียง ก็อย่าสำคัญผิดไป เพราะฉะนั้นความเห็นชอบก็ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติ การทำหน้าที่เป็นผู้นำประเทศ เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องไม่กระทำการใดๆอันเป็นการลบหลู่ดูหมิ่น ไม่ปกป้อง ไม่เชิดชูสถาบัน เราจึงต้องพูดถึงมาตรา 112
“การแก้กฎหมายมาตรา 112 ที่พูดกันเป็นเพียงการแสดงเจตนา แต่สิ่งที่ตนและ ส.ว.เกือบทั้งหมด มีความตระหนักว่าเหตุการณ์ที่เกิดในบ้านเมืองนี้ ก่อนจะแก้มาตรา 112 ไม่ได้เกิดจากเหตุผลให้เป็นสากล หรือเป็นการสร้างแนวทางกฎหมาย ให้เป็นที่ปกป้องดูแลประชาชนที่ถูกกลั่นแกล้งในทางการเมือง แต่สิ่งที่ปรากฏในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ส.ว.ถูกด่าทอในสภามาตลอด เราไม่ใส่ใจ แต่สิ่งที่ต้องทนอยู่เพราะต้องการปกป้องบ้านเมือง 4 ปีที่ผ่านมามีการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายมากมาย สร้างเสรีภาพ แนวคิดให้เยาวชน ประชาชนทั่วไป แบบผิดๆ
ให้มีการกระทำจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันและท่านก็มาพูดเองว่า ถ้าจะแก้มาตรา 112 เพราะมีคนถูกดำเนินคดี 272 คดี มีคนอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีตอนนี้ 253 คน มันก็มาจากสิ่งที่ท่านไปสนับสนุนให้เยาวชน ประชาชนทั้งหลาย กระทำแต่เรื่องละเมิดสถาบัน จนปรากฏเป็นคดีมากมาย ซึ่งมันมีคลิปวิดีโอให้เห็น พอคนเหล่านี้ถูกดำเนินคดีก็ใช้สถานะความเป็น ส.ส.ไปช่วยประกันตัว แทนที่จะไปลดปัญหาไม่ให้กระทำความผิด จนเด็กเสียอนาคต ครอบครัวแตกแยก ไม่เคยเห็นท่านออกมาปกป้องห้ามปรามในสิ่งเหล่านี้”
นายเสรี ย้ำว่า สิ่งที่ทำปรากฏชัดเจนว่าเป็นการล้มล้าง แล้วจะให้ ส.ว. ไปสนับสนุนให้นายพิธาเป็นนายกฯ มันก็ผิดวิสัย และขอพูดเผื่อไว้ว่า ถ้าอยากจะเป็นนายกฯ แล้วลุกขึ้นมาพูดว่า จะไม่แก้ไขมาตรา 112 ตนก็ไม่เชื่อแล้ว เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะกลับมาแก้อีกหรือไม่ เราถูกก่นด่า ด่าทอจนเสียหาย แต่ก็ต้องอยู่เพื่อให้สิ่งไม่ดีไม่งาม ไม่เกิดขึ้นในบ้านเมืองไทย
การที่นายพิธาไปลงพื้นที่ต่างๆ มีประชาชนมาห้อมล้อมแสดงความยินดี เรียกท่านนายกฯ คนที่ 30 ก็เป็นความต้องการของประชาชน เป็นความรัก ความเชื่อ ความศรัทธา แต่ ส.ว.อยู่ในกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติ ความประพฤติ ก็ไม่อยากเห็นภาพคนมาก้มลงกราบ ทั้งที่ยังไม่ได้เป็นนายกฯ ก็ไม่รู้กราบจริงหรือจ้างมา แต่ไม่ควรให้ภาพเหล่านี้เกิดขึ้น ไหนจะเอาเด็กอายุ 10 ขวบมาขึ้นเวที ตนก็รู้สึกว่าจะอยู่ลำบาก ไม่ปลอดภัย เพราะคนเชียร์มากเหลือเกิน
“ถ้าคนที่เชียร์ได้ฟังผมวันนี้ แล้วจะเลือกคนที่มีลักษณะต้องห้าม ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กระทำการอันเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงมาตรา 112 ให้เป็นนายกฯหรือ ก็ขอให้นำเรื่องนี้ไปพิจารณา ก่อนที่จะออกมาชุมนุมเรียกร้อง อยากให้หูตาสว่าง ไม่เกิดความรุนแรง และผมไม่เห็นด้วยที่จะให้นายพิธาและพรรคก้าวไกล เป็นผู้บริหารประเทศหรือเป็นนายกฯ”