
12 กรกฎาคม 2566 ที่รัฐสภา ส.ส.พรรคก้าวไกล นำโดย นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงหลังจากออกแถลงการณ์กรณี การดำเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในคดีถือหุ้นสื่อของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี โดยได้อ่านแถลงการณ์ย้ำอีกครั้ง พร้อมกล่าวว่า นอกเหนือจากแถลงการณ์แล้ว กรณีนี้มีข้อสังเกตว่าทำไม กกต.ถึงรีบเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างผิดปกติ ทั้งที่เรื่องหุ้นไอทีวีก่อนหน้านี้มีข้อพิรุธ มีข้อถกเถียงในสังคมอย่างกว้างขวางว่า
ตกลงไอทีวียังดำเนินธุรกิจสื่ออยู่หรือไม่ มีขบวนการจงใจจัดทำรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นและเอกสารงบการเงินให้ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่ แต่กกต.กลับรีบประชุมทันทีที่ได้รับเรื่อง เพื่อเร่งสรุปให้ได้ว่ามีข้อมูลพยานหลักฐานเพียงพอให้เชื่อว่านายพิธา มีความผิด
“เรื่องนี้ผมทราบมาว่า กกต.ได้เชิญผู้บริหารไอทีวีมาชี้แจงกับ กกต.แล้ว จริงหรือไม่ ให้ กกต.ปฏิเสธ แล้วผู้บริหารไอทีวีที่ กกต.เชิญไปให้ข้อมูลนั้น ได้ให้ข้อมูลกับ กกต.ว่าไอทีวีไม่ได้ดำเนินธุรกิจสื่อ ดังนั้นแม้ กกต.พยายามจะอ้างเหตุผลมากมายว่าไม่จำเป็นต้องแจ้งข้อกล่าวหานายพิธา เพื่อให้นายพิธามาชี้แจงก่อน แต่ในขณะที่ กกต.ยังมีเวลาเชิญไอทีวีไปชี้แจง แล้ว กกต.มีเหตุผลอะไรที่รับฟังได้ว่า
จะไม่ยอมเสียเวลาให้นายพิธาได้รับทราบข้อกล่าวหา และมีโอกาสชี้แจง เพื่อให้ กกต.พิจารณาได้อย่างรอบด้านเป็นธรรม หากผู้บริหารไอทีวีได้ชี้แจงต่อ กกต.แล้วจริงว่า ไอทีวีไม่ดำเนินธุรกิจสื่อ กกต.ใช้หลักฐานอะไรที่นำไปสู่ข้อสรุป ที่บอกว่าตนเองเชื่อว่านายพิธามีความผิดตามที่มีการยื่นคำร้อง เพื่อรีบเร่งให้ได้” นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช กล่าวต่อ ความรีบเร่งผิดปกติ เห็นได้จากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา กกต.มีมติ แล้วทางประธาน กกต.รีบเซ็นเอกสารมอบให้เจ้าหน้าที่ไปยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญทันที ให้ทันการประชุมประจำสัปดาห์ของศาลรัฐธรรมนูญในช่วงบ่ายรวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม ถ้าหน่วยงานราชการไทยทำงานแบบนี้ ประเทศชาติเจริญแน่นอน มันอดไม่ได้ที่สังคมจะตั้งคำถามกับ กกต.ว่า มีเจตนาที่จะส่งลูกให้ศาลรัฐธรรมนูญทันที เพื่อให้นายพิธา ถูกสั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ให้ได้ในวันนี้(12 ก.ค.) ก่อนมีการโหวตนายกฯ ในวันที่ 13 ก.ค.หรือไม่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา โดยใช้นิติสงคราม บทบาทขององค์กรอิสระ รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญ ถูกตั้งข้อสงสัยมาโดยตลอดว่า ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มการเมืองใดหรือไม่ หลังจากนี้อีกไม่นานจะเป็นข้อพิสูจน์ว่า ข้อกล่าวหาเหล่านั้นเป็นจริงหรือไม่
“เราในฐานะ ส.ส.ขอฝากเสียงเตือนจากประชาชน ไปยัง กกต.และองค์กรอิสระทั้งหมด ว่าท่านอย่าลุแก่อำนาจจนเกินขอบเขต วันใดวันหนึ่งเมื่อการเมืองกลับมาเป็นปกติ ประชาชนจะลงโทษพวกท่าน ฉะนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมและ ส.ส.พรรคก้าวไกล รวมถึงเพื่อนอีก 7 พรรคการเมือง ยืนยันว่า จะไม่กระทบกับการเสนอชื่อนายพิธา เป็นนายกฯ คนที่ 30 ในวันพรุ่งนี้ (13 ก.ค.) แม้จะชงและรับลูกรวดเร็ว เพื่อสั่งให้ยุติการปฏิบัติของนายพิธา แต่นายพิธายังมีสิทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ และผู้ได้รับคะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 จากการเลือกตั้ง
ขอให้ประชาชนอย่าเพิ่งตื่นตระหนกตกใจ เรายังยืนยันความชอบธรรมที่สูงสุดคือ อำนาจประชาชน พรรคก้าวไกลมีหน้าที่รับผิดชอบต่อเสียงที่ประชาชนมอบให้ เราจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดจนสุดความสามารถ” นายชัยธวัช กล่าว
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าจะมีผลต่อการตัดสินใจของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) นายชัยธวัช กล่าวว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าเรื่องนี้เป็นกระบวนการหวังผลทางการเมืองจริงๆ มีการบิดเบือนเจตนารมย์ในการบังคับใช้กฎหมาย บิดเบือนระเบียบข้อบังคับต่างๆ ย่อมต้องหวังผลทางการเมือง แต่เรายังเชื่อว่าจะมี ส.ว.มากเพียงพอที่อยู่ข้างความถูกต้อง มีสติ มีความเป็นธรรม และยืนยันที่จะเอกสิทธิ์ตนเองเป็นไปตามเสียงของประชาชน รวมถึงมีวิจารณาญาณเห็นว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้ยังไม่สามารถเป็นบทสรุปได้ว่านายพิธามีความผิด กระบวนการยังไม่สิ้นสุด ไม่ใช่หน้าที่ของ ส.ส.และ ส.ว.ที่จะวินิจฉัยเรื่องนี้ ดังนั้น มันเป็นคนละส่วนกันกับการโหวตเลือกนายกฯ
เมื่อถามว่า จะมีการพิจารณาฟ้อง กกต.ตามมาตรา 157 หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า กำลังพิจารณาอยู่ คงต้องดูรายละเอียดของเอกสารหลายๆ อย่างด้วย ขอยืนยันอีกครั้งว่า กระบวนการตรวจสอบของ กกต.และศาลรัฐธรรมนูญ เป็นคนละส่วน ไม่เกี่ยวข้องกันกับรัฐสภาในการเลือกนายกฯ แต่แน่นอนว่า มีบางฝ่ายพยายามที่จะใช้เรื่องนี้อ้างเหตุผลว่า จะไม่เลือกนายพิธา เป็นนายกฯ อ้างเพื่อจะบอกว่าตนเองไม่จำเป็นต้องฟังเสียงประชาชน
เมื่อถามว่า มี ส.ว.บางส่วนออกมาระบุ ให้เลื่อนการโหวตออกไปก่อน นายชัยธวัช กล่าวว่า ตนเชื่อว่าจะไม่เป็นเหตุให้เลื่อนการโหวตนายกฯ และเชื่อมั่นประธานรัฐสภาที่มีหลักชัดเจน
“เราเฝ้าดูอยู่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีความเที่ยงธรรมหรือไม่ ยืนยันการที่ กกต.พยายามอ้างบรรทัดฐานในคดียุบพรรคอนาคตใหม่ มันไม่สามารถเทียบเคียงได้ เพราะกระบวนการไม่เหมือนกัน และเราไม่มีแผนอะไร ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร นายพิธามีสิทธิ์ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายในการเป็นแคนดิเดตนายกฯ สามารถเสนอชื่อเป็นนายกฯ ได้เหมือนเดิม
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนที่หวังมากที่สุดคือประชาชนที่อยู่ข้างนอก เรายังหวังว่าสิ่งที่ผิดปกติจะไม่เกิดขึ้น กระบวนการนิติสงครามที่ค้านสายตาประชาชนมากว่า 10 ปีจะไม่เกิดขึ้นอีก ดังนั้น ในวันพรุ่งนี้(13 ก.ค.) จะเป็นโอกาสและทางแยกของสังคมไทยว่า เราจะวนกลับไปสู่การเมืองที่ไม่เห็นหัวประชาชนเหมือนเดิม หรือจะเป็นโอกาสที่เราจะคืนความปกติให้กับระบอบประชาธิปไตยไทย และพาประเทศไปข้างหน้า ผู้มีอำนาจมีโอกาสเลือก และผมเชื่อว่าคราวนี้ประชาชนจะไม่ยอม” นาบชัยธวัช กล่าว