svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

ก.ต่างประเทศ แจงยิบ ถกประเด็นเมียนมา ไม่ได้เป็นการประชุมในกรอบอาเซียน

19 มิถุนายน 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ก.ต่างประเทศ แจงยิบ หนังสือเชิญประชุมชาติสมาชิกอาเซียน ถกประเด็นเมียนมา ไม่ได้เป็นการประชุมในกรอบอาเซียน ระบุ ไทยได้แจ้งต่อที่ประชุม ARF แล้ว ชี้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3

 19 มิถุนายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยการประชุมพบปะแบบสนทนาอย่างไม่เป็นทางการ ของกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบ จากปัญหาความขัดแย้งในประเทศเมียนมา วานนี้ (18 มิ.ย.) ว่า การประชุมครั้งนี้ไม่ได้เป็นการประชุมในกรอบอาเซียน แต่จะช่วยส่งเสริมสนับสนุนความพยายามของอาเซียน ในการแก้ไขปัญหาเมียนมา ทั้งนี้ ไทยได้แจ้งอย่างเป็นทางการต่อที่ประชุม ASEAN Regional Forum (ARF) ของอาเซียนที่กรุงพนมเปญเมื่อปี 2565 ว่า ไทยจะดำเนินการให้มีการพูดคุยเพื่อหาวิธีซึ่งจะได้มาเพื่อการแก้ปัญหาในเมียนมาอย่างสันติในทุกกรอบ รวมทั้งในกรอบ 1.5 ซึ่งครอบคลุมการประชุมทั้งภาคราชการและวิชาการ ซึ่งสมาชิกอาเซียนรับทราบและไม่มีผู้คัดค้าน

โดยไทยเคยจัดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ เกี่ยวกับเมียนมาแล้วหลายครั้ง ในหลากหลายรูปแบบและหลายระดับ ซึ่งได้จัดการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งทุกครั้ง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ดอน ปรมัตถ์วินัย) ได้แจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศอาเซียนทราบ และเชิญเข้าร่วมการประชุมด้วย

รวมทั้งเคยจัดให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเมียนมา ได้พบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซีย รวมถึงพบกับผู้แทนของสหประชาชาติในโอกาสต่อมา ตลอดจนจัดให้นักธุรกิจไทย ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภายในของเมียนมา ได้มีโอกาสพูดคุยกับรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจของเมียนมาโดยตรง ทำให้ปัญหาหลายประการคลี่คลายไปได้

นอกจากนั้น ไทยเคยจัดให้ภาคส่วนที่สนใจ ในการหาทางแก้ไขปัญหาเมียนมาโดยวิธีสันติ ตลอดจนนักวิชาการ มาร่วมการสัมมนาในหัวข้อที่สำคัญ อาทิ ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ การดำเนินการทั้งหมดนี้เป็นการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและสามารถต่อยอดซึ่งกันและกันได้ โดยเน้นว่าจะไม่มีการนำเอาเรื่องที่พูดคุยกัน ออกมาเปิดเผยเพื่อให้การสนทนาเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา เปิดเผย และสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ไทยให้ความสำคัญกับการทูตและการเจรจาในการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี

การพูดคุยเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานของการทูตทั่วโลก เพื่อแสวงหาทางออกโดยสันติ ซึ่งหลักการของอาเซียนก็เน้นย้ำการปรึกษาหารือ (consultations) การร่วมมือ (cooperation) และฉันทามติ (consensus) ตั้งแต่อาเซียนเพิ่งเริ่มก่อตั้ง ทั้งยังเน้นเรื่องการไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในระหว่างกัน ทำให้อาเซียนสามารถเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการเมืองมาได้ถึงปัจจุบัน จนทำให้เกิดคำที่เรียกว่า ความเป็นแกนกลางของอาเซียน (ASEAN Centrality) จากความเป็นปึกแผ่นและมีเอกภาพ ทำให้อาเซียนสามารถมีบทบาทนำ ท่ามกลางความท้าทายและความหลายหลากของประเทศสมาชิก

ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับเมียนมาถึง 2,400 กิโลเมตร ไทยต้องการเห็นสันติภาพและเสถียรภาพกลับคืนสู่เมียนมาอย่างยั่งยืน โดยสนับสนุนการพูดคุยกันเพื่อหาทางออกโดยสันติวิธี และยุติการใช้ความรุนแรง การสู้รบตามชายแดนมีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทย ทั้งด้านการค้าชายแดนที่มีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ความมั่นคงทางพลังงาน การลักลอบค้ายาเสพติด การลักลอบค้าอาวุธ แก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัญหาประจำที่เกิดขึ้น โดยไทยไม่อาจรั้งรอในการแก้ปัญหาได้

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ให้กับประชาชนเมียนมาอย่างต่อเนื่อง โดยไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่มีการจัดตั้ง Humanitarian Task Force โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธาน และได้ประสานงานองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งองค์กรต่าง ๆ ของสหประชาชาติ โดยได้ให้ความช่วยเหลือทั้งโดยตรงต่อเมียนมา และร่วมกับอาเซียน ตลอดจนองค์การระหว่างประเทศตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นในภาวะภัยการสู้รบและภัยธรรมชาติ

สำหรับการประชุมครั้งนี้มีผู้แทนระดับสูงจาก ลาว กัมพูชา เมียนมา อินเดีย จีน บรูไน เวียดนาม เข้าร่วม

logoline