svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

วรวิทย์ ยัน "ประชาชาติ" ไร้นโยบาย "แยกดินแดน" ชี้ เป็นการเมืองช่วงตั้งรัฐบาล

15 มิถุนายน 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เปิดใจ "วรวิทย์" รองหัวหน้าพรรคปชช. ในวันประชามติแยกดินแดน ระบุ เป็นสิทธิ์ของคนในพื้นที่ต่อการกำหนดชะตากรรมของตัวเอง ไม่ใช่การแยกดินแดน ยัน "ประชาชาติ" ไร้นโยบาย "แยกดินแดน" ชี้ เป็นการเมืองช่วงตั้งรัฐบาล

15 มิถุนายน 2566 ผศ.วรวิทย์ บารู รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ ให้สัมภาษณ์ รายการ เนชั่นกรองข่าว “เนชั่นทีวี” เกี่ยวกับกรณีที่ได้ไปเข้าร่วมกิจกรรมของขบวนนักศึกษาแห่งชาติ ที่มีการทำประชามติจำลองเรื่อง “เอกราชปาตานี” ให้ถูกกฎหมาย และร่วมเวทีสัมนาแสดงความคิดเห็น

@@ ช่วยเล่าข้อเท็จจริงในเหตุการณ์หน่อยว่า ทำไมมันถึงออกมาแบบนี้?

ผมได้รับหมอบหมายจากทางพรรค คือเขาเชิญไปทางพรรคที่หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ทั้ง 2 ท่านก็ได้มอบหมายให้ผมเข้าไป เนื่องจากว่าอยู่ในพื้นที่เลือกตั้งของผม และผมก็เคยสอนอยู่ที่นั่น ที่สำคัญผมก็เคยดูแลเป็นรองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาอยู่ก่อนแล้วที่นั่น เพราะฉะนั้นผมก็คงจะรู้พอสมควรในเรื่องอะไรต่างๆ

การไปวันนั้นผมไปในช่วงบ่าย ในช่วงที่ อ.มารค (รศ.ดร.มารค ตามไท จากมหาวิทยาลัยพายัพ และอดีตหัวหน้าคณะเจรจาในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) กำลังแสดงปาฐกถาอยู่ ก็ได้ฟัง อ.มารค พูดทางโปรแกรมซูมจนจบ ก็มาถึงการเสวนาของ 3 คน ก็คือผมก็ไปนั่งคุยตามที่หัวข้อกำหนดไว้ ก็คือเรื่องสันติภาพปาตานี การกำหนดอนาคตตนเอง เราก็พูดไปตามลักษณะของวิชาการ โดยผมเน้นหนักในเรื่องของ internal Self Determination คือการกำหนดอนาคตตนเองจากภายใน

ปฐมเหตุแห่งการเมือง 23 จังหวัดชายแดนใต้ ที่กำลังระอุปลายด้ามขวาน

การที่เลือกตรงนี้คือ นโยบายพรรคเราก็มี 4 ตัว ก็คือ 1.มิติทางด้านการเมือง 2.มิติทางด้านสังคม 3.มิติทางด้านเศรษฐกิจ และ 4.มิติทางด้านวัฒนธรรม ผมก็พูดเน้นไปในเรื่องตรงนี้ คือผมพูดในประเด็นของ Self Determination ส่วนเรื่องของนักศึกษาจัด ก็เป็นเรื่องของนักศึกษา เขาก็สามารถแสดงความคิดเห็นของเขาได้ เรื่องของกฎหมายก็ว่ากันไปตามกฎหมาย ที่สำคัญถึงแม้มหาวิทยาลัยจะไม่ใช่ผู้จัด แต่นักศึกษาเป็นผู้จัด ทุกกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย แน่นอนผู้มีความรับผิดชอบ จะต้องรับรู้ว่าจะมีอะไร ยิ่งจัดที่คณะด้วย 

เหตุนี้สถาบันวิชาการ เราก็ไปพูดด้วยเรื่องของวิชาการ ในฐานะที่เป็นอาจารย์เก่า ก็คงไม่มีปัญหาอะไร ก็ไปพูดปกติ

@@ งานที่จัดขึ้นกองทัพภาค 4 ทราบเรื่องไหม?

อันนั้นผมไม่ทราบ แต่ถ้าผมดูจากผู้ที่เข้ามาฟัง 4 คนที่นั่งข้างหน้า 2 ใน 4 คนเป็นทหารแน่นอน เพราะว่าเพื่อนที่เป็นกำนันที่ไปด้วยกันเขารู้จัก แน่นอนเขาอาจจะส่งเข้าไปสังเกตการณ์ก็ได้ นี่ก็เป็นทีมที่ผมไป เขาบอกว่าเขาได้คุยกัน รู้จักกันว่าเขาเป็นทหารอยู่ เป็นหน้าที่ของเขาที่จะไปฟัง ไม่ได้ว่าอะไร 

หัวหน้าพรรคประชาชาติ

คือ ผมอยากจะคุยกับพี่น้องเรื่องจังหวัดชายแดนใต้ เป็นเรื่องของทั้งประเทศ อย่าลืมว่า คนที่นี่ที่รักประเทศมีมากกว่า เพราะฉะนั้นการที่จะพูดอะไรออกมา และในวิถีเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องซึ่งอยู่ในทางวิชาการ ส่วนเรื่องของเด็กที่ไปพูด เขาไปทำ ก็บอกว่าเป็นการจำลองประชามติ แต่การที่จะไปใส่แยกดินแดนอะไรต่างๆ ผมคิดอยู่โดยตลอด ถ้าหัวหน้าพรรคผม (นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ) ซึ่งเคยเป็นถึงประธานสภาฯ รัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี ถ้าจะว่าไปแล้ว การปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งแต่ละครั้ง ก็ปฏิญาณต่อหน้าองค์พระมหากษัตริย์ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับนายทหารทั้งหลาย ที่ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา หัวหน้าพรรคผมถ้าถึงขนาดนั้น มีแนวคิดอย่างนี้ ผมว่าประเทศไทยก็คงแย่แล้ว เพราะอยู่ในแวดวงการเมือง 43 ปีแล้ว

ผมคิดว่า การจะทำอะไรก็แล้วแต่ คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เขารักประเทศ แต่เขาก็มีสิทธิ์ที่จะกำหนดอนาคตของตัวเอง กี่สิบปีแล้วที่ใช้กฎหมายอะไรต่างๆ มีอะไรดีขึ้น ปัตตานียังเป็นจังหวัดที่ยากจนที่สุดในประเทศไทย ในเรื่องการศึกษาก็เช่นเดียวกัน มันคืออะไร เราจะอยู่อย่างนี้กันต่อไปหรือ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องคิดแก้

พรรคประชาชาติ จึงนำเสนอวิธีการแก้ในนโยบายของเรา 4 ข้อที่ผมเน้นที่มีอยู่ในนโยบาย หากใครไปดูโปสเตอร์ที่ผมหาเสียง จะมีอันหนึ่งที่เขียนว่า “พุทธ มุสลิม” กลับสู่แผ่นดินถิ่นเกิด ซึ่งเราก็ตระหนักว่า สังคมเป็นพหุสังคม คนส่วนใหญ่ต้องอยู่ได้ คนส่วนน้อยต้องได้รับการดูแล 

วรวิทย์ ยัน \"ประชาชาติ\" ไร้นโยบาย \"แยกดินแดน\" ชี้ เป็นการเมืองช่วงตั้งรัฐบาล

ส่วนทางด้านการเมือง เราพูดถึงไกลสุดก็ในเรื่องของ “จังหวัดจัดการตนเอง” คือเรื่องของการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ซึ่งเป็นการพูดโดยทั่วไป เมื่อมีความพร้อม แล้วก็ในเรื่องเศรษฐกิจอันนี้สำคัญ ผมเสนอตั้งแต่ต้น คือระบบเศรษฐกิจฐานคุณธรรม ผมทำเรื่องนี้มา 30 กว่าปี ฐานคุณธรรมตรงนี้ไม่ได้เฉพาะมุสลิมเท่านั้น จะเป็นวิถีพุทธ วิถีคริสต์ก็ได้

ฐานคุณธรรมคือไม่ไปเบียดบัง ไม่ไปกดดัน ไม่ไปขูดรีดเขา อันนี้คือสิ่งที่ประชาชาติใส่ไว้ในนโยบาย เพราะว่ามันสอดคล้องกับสังคมที่นี่ สังคมที่มีคนมุสลิมอาศัยอยู่ 80 เปอร์เซ็นต์

ฉะนั้นการจะแก้ปัญหาก็จะแก้ทั้งระบบ ในเรื่องของเศรษฐกิจ ยกตัวอย่าง พวกซอฟต์โลน มุสลิมก็รับไม่ได้ เพราะว่ามีดอกเบี้ยอยู่ มุสลิมจะไปได้รับอะไรตรงไหน ที่นี่ก็ต้องแก้ในเรื่องของวัฒนธรรม พรรคพูดถึงเรื่องสังคมพหุวัฒนธรรม พูดถึงสังคมพหุภาษา ซึ่งจะเอาความโดดเด่นของพหุภาษา ในการที่จะสร้างในทางเศรษฐกิจได้ เราต้องการจะเห็นอาเซียนเกตเวย์ เราต้องการจะเห็นความสัมพันธ์บนฐานประวัติศาสตร์ไทยกับจีน ปัตตานีกับจีน เหล่านี้คือสิ่งที่เราคิดอยู่

@@ กรณีที่เกิดขึ้นมีความพยายามโยงเอาพรรคประชาชาติเข้าไปด้วย จะชี้แจงอย่างไร?

ตรงนี้ผมคิดว่า คนที่มีสามัญสำนึกอย่างที่บอก อย่างหัวหน้าพรรคผมอยู่ในแวดวงการเมือง 43 ปี และมีตำแหน่งใหญ่โตอะไรต่างๆ และทางด้านเลขาธิการพรรค (พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง) เป็นผู้ซึ่งได้นำเสนอในเรื่องของการพูดคุยในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นคนแรกๆ ที่เสนอหนทางโดยใช้สันติภาพ เพราะมองเห็นว่า ต้องสร้างสันติภาพและสังคมสันติสุขให้ประชาชนอยู่ดีกินดี โดยเฉพาะในเรื่องของความล้มเหลวทางเศรษฐกิจที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน

รายชื่อบิ๊กเนม 2 คนนี้ จะไปเกี่ยวโยง จะไปทำอย่างนั้น และถ้ามีการที่จะไปเชื่อมโยง เราก็คงต้องมีเจตนาอื่น ที่ไม่ใช่เจตนาดีแน่นอน มองว่าตรงนี้เป็นเรื่องการเมือง ยิ่งในช่วงการจัดตั้งรัฐบาลด้วย

@@ วันที่มีการสำรวจประชามติ ได้เข้าทำแบบสำรวจด้วยไหม?

ผมไปเขาจบแล้วครับ เขาทำกันในช่วงเช้าของกิจกรรม ผมไปในช่วงบ่าย เขาทำกันจบแล้ว การลงประชามติเขาปิดแล้ว ซึ่งเขาออกผลเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าผลเป็นอย่างไร ที่เป็นอย่างนี้ก็ยืนยันได้ว่า คนที่ไปด้วยกันกับผม ก็ถามว่าเขาทำอะไรอย่างไรกัน เขาก็บอกว่ามีคนลงประชามติประมาณ 90 คน ผมทราบเรื่องนี้จากคนที่ไปด้วยกัน

@@ หลังมีกระแสข่าวออกมา มีโอกาสได้คุยกับน้องๆที่ทำประชามติไหม?

ยังไม่ได้เจอเลย แต่ก็ต้องให้กำลังใจเด็กๆ เหล่านี้ คือลูกหลานเราเหล่านี้เขาได้คิดในเฉกเช่นนี้ ถ้าเขาผิดก็ต้องบอกเขา แต่คนเหล่านี้จะโตไปเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า ให้เขาตระหนักรู้ ตระหนักดี และให้เขาสำนึกในท้องถิ่น และพัฒนาในฐานที่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย เราต้องประคับประคองเขา ต้องให้กำลังใจเขา ผิดก็อาจจะผิด แต่ว่าเขายังเป็นเยาวชน

@@ สุดท้ายแล้วการกำหนดอนาคตตัวเอง ความหมายมันคืออะไร มันคือแยกดินแดนหรือเปล่า?

มันไม่ใช่เลย มันคือ Right to Self Determination สิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตัวเอง ไม่ใช่การแยกดินแดน อย่างเช่น internal Self Determination ที่ผมบอกก็สามารถที่จะผ่านทางการเมืองของเราในนโยบายต่างๆ ได้ นี่ก็คือการกำหนดอนาคตตัวเอง เพราะพรรคเรารู้ตรงนี้คืออะไร จุดอ่อนอะไรอยู่ตรงไหน เราก็ใส่เข้าไปในนโยบายเรา อันนั้นก็คือ internal (ภายใน) แต่ถ้าเป็นภายนอก ก็ต้องเป็นประเด็นอะไรต่างๆ เหมือนกัมพูชากับอเมริกา เหมือนกับติมอร์กับอินโดนิเซีย อันนั้นก็คือจากองค์ประกอบข้างนอก

logoline