12 มิถุนายน 2566 พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. กล่าวถึงกรณีขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ จัดปาฐกถาพิเศษหัวข้อ การกำหนดอนาคตตนเอง และให้มีการลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราช รัฐปาตานี หรือ รัฐปัตตานี เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน2566 ที่ผ่านมา ว่า วันนี้ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือ เพื่อตรวจสอบในเนื้อหาสาระกิจกรรมกลุ่มนักศึกษา ว่ามีใครเกี่ยวข้องทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
โดยจะมีการตรวจสอบตามขั้นตอนอย่างชัดเจน เปิดเผย เป็นธรรม ไม่มีเจตนาที่จะไปจ้องดำเนินการเอาผู้กระทำความผิด จะตรวจสอบดูว่าผิดหรือไม่ผิด และจะดำเนินการตามกฎหมายเท่าที่จำเป็น โดยสิ่งที่เรากังวลคือการเผยแพร่ไปยังสาธารณชน ก็ต้องไปดูว่ากลุ่มที่ทำโดยเสียงประชาชนส่วนใหญ่หรือไม่ กลไกต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภาฯสันติสุขในระดับตำบล ที่ปรึกษา ซึ่งมีหลายองค์กร มีหลายกลไกลที่มีอยู่รับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่มาโดยตลอด จึงต้องไปดูว่าสิ่งเหล่านี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร
และส่วนที่ 2 ที่กำลังทำอยู่ ได้มีการเน้นย้ำข้อห่วงใย ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่พยายามให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วน รวมถึงประชาชน ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะผิดกฎหมาย จะต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งขณะนี้พยายามให้หน่วยงานในพื้นที่เข้าไปทำให้ความเข้าใจ โดยอาศัยทุกกลไกที่มีเข้าไปพูดคุย
ส่วนมีการประเมินหรือไม่ ในประเด็นดังกล่าว ของคนในพื้นที่ที่ขณะนี้มีการรุกคืบมากขึ้น พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า จะต้องให้ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำงาน ซึ่งขณะนี้ก็มีข้อมูลเดิมอยู่พอสมควร ทั้งการโยงใยไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตามในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ สิ่งที่รัฐบาลพยายามทำคือการทำความเข้าใจ ว่าเรามีเหตุผลความจำเป็นอย่างไร ต้องการให้ประชาชนคนไทย ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ อยู่ดีกินดีปลอดภัยและอยู่ภายใต้กฎหมาย และพร้อมที่จะสนับสนุนความต้องการของคนในพื้นที่ ทั้งสังคม ศาสนา วัฒนธรรม และการศึกษา ซึ่งเป็นแผนงานที่รัฐบาลพยายามทำมา เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของประชาชน แม้ว่าบางกลุ่มจะมีความคิดอย่างที่ทุกคนทราบดี แต่ก็ต้องพยายามอธิบายทำความเข้าใจ ว่าจะมีผลดีหรือผลเสียอย่างไร
เมื่อถามย้ำว่า มีหลักฐานหรือไม่ว่าในเรื่องนี้มีพรรคการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง เลขาฯสมช. ย้อนถามกลับว่า ท่านก็ทราบอยู่แล้ว การจัดกิจกรรมเท่าที่ทราบจะเห็นว่า มีพรรคการเมืองเกี่ยวข้องด้วย ทั้งอยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลัง ซึ่งขอให้ทางเจ้าหน้าที่เข้าไปทำงานตรวจสอบก่อน อยู่ในขั้นตอนการสอบสวนแล้วว่ามีผู้ใดเกี่ยวข้อง
ส่วนจะต้องย้อนกลับไปดูถึงการหาเสียงเลือกตั้งของบางพรรคการเมือง ที่มีนโยบายให้บางจังหวัดมีนายรัฐมนตรีเป็นของตนหรือไม่นั้น พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า หากสังเกตการหาเสียงเลือกตั้งมีนโยบายค่อนข้างที่จะสุดโต่ง แรงในหลายเรื่อง ที่ทางสมช.มีข้อกังวล แม้ว่าทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ยังไม่รับรองผลการเลือกตั้งก็ตาม ก็เริ่มมีการออกมาเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมืองเกี่ยวกับนโยบายที่จะทำ โดยข้อมูลเดิมที่ผ่านมา อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้อง และเชื่อมโยงการกระทำที่ผิดกฎหมาย ก็จะถูกนำมาพิจารณาทั้งหมด แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะสามารถเอาผิดพรรคการเมืองได้หรือไม่
ส่วนกรณีมีการพูดคุยกับหัวหน้าพรรคที่เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี ว่าเป็นคนพูดหาเสียงในขณะนี้ เลขาฯสมช. กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการพูดคุย แต่คิดว่าท่านน่าจะทราบ ที่ผ่านมาท่านก็ศึกษาเรื่องนี้ สมช.เองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็พูดกันชัดเจน เกี่ยวกับนโยบายการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้รวมไปถึงรัฐบาลได้พูดอย่างชัดเจน มาโดยตลอด ทั้งในสภาฯ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งเรามีนโยบายชัดเจน
เมื่อถามว่าในเบื้องต้นกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องภาย ไม่ใช่มีแรงกระเพื่อมจากภายนอกประเทศใช่หรือไม่ พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ยังไม่มี แต่ก็ไม่ได้ตัด หากเราพบว่ามี โดยทุกวันนี้ได้มีการพูดคุยกับต่างประเทศในระดับนโยบายโดยรวม โดยให้ฝ่ายองค์กรต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศลงไปรับทราบข้อมูลในจังหวัดชายแดนใต้ และมีการพูดคุยกันอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด
ส่วนขั้นตอนการเข้ามาพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขององค์กรต่างประเทศ พล.อ.สุพจน์ ชี้แจ้งว่า จะต้องมีการขออนุญาตจากกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ตกลงร่วมกันกับหน่วยงานด้านความมั่นคง จากนั้น ทางกระทรวงการต่างประเทศจะ พูดคุยกับทาง สมช. ถึงความต้องการและวัตถุประสงค์ หากดูแล้วไม่กระทบ ไม่เป็นปัญหาต่อประเทศเรา ก็จะมีขั้นตอนให้ศ.อบต. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ พูดคุยกับหน่วยงานความมั่นคงอื่นเพื่อให้สามารถให้หน่วยงานองค์กรต่างประเทศเข้าไปในพื้นที่ได้ตามวัตถุประสงค์
ส่วนการประกาศเจตนารมณ์ในมหาวิทยาลัย จากนี้จะสามารถทำได้หรือไม่ พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า จะต้องดูที่เจตนาข้อมูลว่าผิดกฎหมายหรือไม่ หากผิดกฎหมายไม่สามารถทำได้ และในขณะนี้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า ยังไม่ได้รายงานความผิดเข้ามาเนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
เมื่อถามย้ำว่าหากเป็นในกรณีการลงประชามติแบ่งแยกเอกราช ถือเป็นการเข้าข่ายการกระทำความผิดใช่หรือไม่ พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ถ้าเป็นการทำประชามติจะต้องดำเนินการ หากเป็นเรื่องเอกราช ซึ่งถือเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 1 แห่งรัฐธรรมนูญ ราชอาณาจักรไทย ที่มีการระบุไว้อย่างชัดเจน ส่วนจะผิดกฎหมายมาตราย่อยอะไร ต้องไปดูพฤติกรรมหลักฐานสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และกอ.รมน.จะเป็นเจ้าภาพในการตรวจสอบ ซึ่งวันนี้ได้มีการเชิญกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานอัยการ เข้ามาพูดคุยให้ข้อเสนอแนะ
ส่วนหากอนาคตมีความผิดจริง สำหรับพรรคการเมืองที่ส่งตัวแทนเข้าไปร่วมการเสวนาจะถือว่ามีความผิดหรือไม่ พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า หากมีหลักฐานว่ามีความผิดก็คือมีความผิด ถูกดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนทางมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จะต้องรับความผิดร่วมด้วยหรือไม่ หากดูผิวเผิน เป็นกิจกรรมทางวิชาการ แต่ในเนื้อหาสาระ มีทั้งในเชิงวิชาการ และกิจกรรมที่สุ่มเสี่ยงเป็นบ่อเกิดประเด็น ที่เราเป็นห่วงที่จะต้องมีการทำความเข้าใจกับสังคม
ส่วนแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นหรือไม่ พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ได้มีการเตรียมไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันนี้ในพื้นที่ได้มีการรับแนวทางไปปฏิบัติ เพื่อรับฟังความคิดเห็นอย่างเปิดกว้าง ในเรื่องต่างๆตามกฎหมาย ส่วนกระบวนการอะไร ที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับกฎหมาย จริงๆแล้วประเทศเรามีระบบที่ชัดเจน ว่าจะต้องเสนอผ่านกระบวนการอะไร
ส่วนมีการประเมินสถานการณ์ความมั่นคงในพื้นที่ หลังจากมีการประกาศในเรื่องดังกล่าวแล้วหรือไม่ พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ตนคิดว่าประชาชนในพื้นที่เข้าใจ เราไม่ได้ต้องการที่จะไปต่อสู้ หรือปิดกั้น เพียงแต่ต้องดูบริบทของในพื้นที่ว่า จังหวัดชายแดนภาคใต้ แก้ไขปัญหามาถึงจุดนี้แล้ว ถึงแม้ว่าจะมีบางเรื่องที่ยังต้องปรับปรุงและพัฒนา ให้เกิดความก้าวหน้ายิ่งขึ้น และปลอดภัย ซึ่งตนคิดว่าเราเดินมาในทิศทางที่ถูก เรามีทั้งความพยายาม ที่จะสร้างความสงบให้มากขึ้น ไม่ให้มีการก่อเหตุร้าย แม้ว่าจะมีอยู่บ้างก็ตาม
และขณะเดียวกันก็มีความพยายามที่จะเปิดเป็นที่พูดคุยกับผู้เห็นต่างทางการเมือง มาโดยตลอด และทุกวันนี้ก็ได้มีการยกระดับการพูดคุยอย่างกว้างขวาง กับทุกภาคส่วน ทั้งกลุ่ม brn หรือกลุ่มอะไรก็ตาม ต้องรับฟัง และเราพยายามที่จะเชิญนักการเมือง ตัวตั้งตัวตีของประชาชนมาพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจและช่วยกันแห้ไขปัญหา โดยก.อรม.ภาค 4 ส่วนหน้าก็รับทราบ
เมื่อถามว่าการทำกิจกรรมดังกล่าวของกลุ่มนักศึกษา เป็นการคาดการณ์ของหน่วยงานด้านความมั่นคงหรือไม่ พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ไม่เกินความคาดการณ์ ซึ่งที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีกิจกรรมที่น่ากังวล เนื่องด้วยพยายามสนับสนุนให้ประชาชน ไม่ว่าจะกลุ่มใดก็ตาม ได้แสดงความคิดเห็น ภายใต้กรอบกฎหมาย เท่าที่เราสามารถทำได้ เพื่อใช้ประชาชนสามจังหวัดเข้าใจว่ารัฐบาลไม่ได้มีเจตนากดขี่ หรือบังคับ หรือมองว่าไม่ใช่เป็นกลุ่มประชาชนคนไทย เราได้พยายามให้ท่านได้แสดงออกตามที่ต้องการภายใต้กฎหมาย
ส่วนการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลส่งผลต่อการทำงานของหน่วยงานด้านความมั่นคงหรือไม่ พล.อ.สุพจน์ กล่าวยืนยันว่า ไม่ลำบาก วันนี้ได้มีการพูดคุยในเรื่องนี้ โดยความกังวลในฐานะที่สมช.ดูแล หน่วยงานด้านความมั่นคง ได้มีการพูดคุยกันอย่างชัดเจนว่า หน่วยงานด้านความมั่นคงต้องทำงานบนพื้นฐาน ข้อเท็จจริงบนข้อมูลการวิเคราะห์ แผนการแก้ปัญหา และการเตรียมการ ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล ก็ต้องนำเสนอข้อมูล ที่เราทำงานตามบทบาทหน้าที่ทางกฎหมาย
ส่วนหลังการเลือกตั้งมีการประเมินสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ว่าจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นหรือไม่ พล.อ.สุพจน์ ระบุว่า เราประเมินในแต่ละกรณีไป ซึ่งท่านอาจจะมองในมิติความขัดแย้งทางการเมืองการชุมนุม การก่อความไม่สงบ ซึ่งเรื่องนี้ที่เราจะต้องมีการเตรียมอยู่แล้วโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นคนไกลหลักในการเตรียมการ ซึ่งผู้บัญชาการรับทราบและเตรียมการมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อถามย้ำว่าการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องมีแกนนำบางคนประกาศเตรียมออกมาเคลื่อนไหวลงถนนเพื่อกดดัน ส.ว. ใช่หรือไม่ เลขาฯสมช. กล่าวว่า เราต้องมีความพร้อม หากมีการออกมาชุมนุม ก็เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ในการไปอำนวยความสะดวก เรื่องความปลอดภัย ต่อทุกฝ่าย ไปหากก่อเหตุรุนแรงเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องดำเนินการป้องกัน และยุติระงับยับยั้งเหตุ ส่วนการข่าวในตอนนี้ไม่มีอะไรที่น่ากังวล
ส่วนกรณีที่นายอานนท์ นำภา มีการโพสต์ข้อความปุกระดมผ่านโซเชียล พล.อ.สุพจน์ มองว่า เป็นการแสดงความคิดเห็น เชิญชวน หากพบว่าผิดกฎหมายเจ้าหน้าที่จะดำเนินการ
"การประชุมในวันนี้จะมีการสรุปและนำเสนอต่อพล.อ.ประยุทธ์ ในกรณีเร่งด่วนและเป็นเอกสาร แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนในด้านกฎหมาย ในฐานะหน่วยงานด้านความมั่นคง เคยพูดหลายครั้งว่าการที่ประเทศไทยจะเดินหน้าในทุกมิติได้อย่างราบรื่นคือการมีรัฐบาลที่มั่นคงที่จะไม่มีเหตุการชุมนุม ไม่มีเหตุความไม่สงบ ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นใจทางเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง เดินหน้าตามกรอบกฎหมาย คิดว่าเราน่าจะไปได้ดี" พล.อ.สุพจน์ กล่าว