ท่ามกลางสถานการณ์ที่ทุกสายตาจับจ้องการลงนามเอ็มโอยู 8 พรรคการเมืองเพื่อ "จัดตั้งรัฐบาล" โดยสนับสนุน "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรคก้าวไกล ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศ
แม้จะมีการแถลงยืนยัน ไม่ว่ามาจากแกนนำ"พรรคเพื่อไทย" อย่าง"นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว" หัวหน้าพรรค ยังกอดคอ"พรรคก้าวไกล" สนับสนับสนุน"พิธา" ให้ถึงฝั่งฝันตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ตาม
แต่มุมมองจากสังคมภายนอก ก็ยังไม่อาจเชื่อได้อย่างสนิทใจ "พิธา"รวมถึง "พรรคก้าวไกล" จะได้เป็น"รัฐบาล"จริงหรือไม่
เพราะด้วยเหตุปัจจัยหลายประการเหลือเกิน ที่ทำให้คอการเมืองแม้แต่เหล่า"ด้อมส้ม" ยังคงมองท่าที "พรรคเพื่อไทย" ที่ถือว่าเป็นพรรคที่มีคะแนนเลือกตั้งตามมาอันดับสอง ห่างกันแค่ 10 ที่นั่ง อย่างไม่สบายใจนัก ถือยังเป็นพรรคตัวแปรสำคัญในการพลิกผันสถานการณ์ได้ทุกเมื่อ
คำกล่าว ที่ว่า "ก้าวไกลจำเป็นต้องมีเพื่อไทย แต่เพื่อไทยไม่จำเป็นต้องมี"ก้าวไกล" เป็นวลีทองคอยหลอกหลอน"ก้าวไกล"มานับตั้งแต่หลังได้รับชัยชนะเลือกตั้ง จนมาถึงการลงนามเอ็มโอยูจัดตั้งรัฐบาล
กอปรกับการเจรจาต่อรองตำแหน่งสำคัญๆ ทั้งตำแหน่ง"ประธานสภา" โควต้ารัฐมนตรีเกรดเอ บี ซี ก็ยิ่งสร้างน้ำหนักความหวาดระแวงระหว่างสองพรรคมีมากขึ้น
หากจับท่าทีการให้สัมภาษณ์ของคนใน"เพื่อไทย" ยิ่งเห็นมุมมองที่แตกต่างแต่มีเป้าหมายเดียวกัน
ดังตัวอย่าง กรณี "ตำแหน่งประธานสภา" ไม่ว่าจะเป็น "ประเสริฐ จันทรรวงทอง" เลขาธิการพรรคเพื่อไทย "อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด" รองโฆษกพรรคเพื่อไทย "อดิศร เพียงเกษ" ว่าที่ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แสดงท่าทีชัดเจนตำแหน่ง"ประธานสภา"ต้องเป็นของพรรคเพื่อไทย
"ถ้าพรรคก้าวไกลยังดื้อดัน สมมติว่าเพื่อไทยไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล คุณเดินไปไม่ได้อยู่ดี ผมไม่อยากให้เกิดภาพนี้ขึ้น..."
นายอดิศร กล่าว เมื่อ 24 พ.ค.66
การออกมาแสดงบทบาทชัดเจนขนาดนั้น ยังปลุกเร้าให้"สาวกเสื้อแดง"ออกมาเคลื่อนไหวกดดัน"พรรคก้าวไกล" ถึงขนาดยื่นข้อเสนอ หากการเจรจาตำแหน่ง"ประธานสภา" ไม่เป็นผล สมควรที่"พรรคเพื่อไทย"ควรสลัดออกจากการ"จัดตั้งรัฐบาล" กันเลยทีเดียว
แต่ในขณะเดียวกัน บุคคลที่อยู่หน้างาน ต้องคอยรับบท"คู่หูชู้ชื่น" เป็นใครไม่ได้ก็คือ "นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว" หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พยายามกลบประเด็นความไม่ลงตัวระหว่างสองพรรค
อย่างเช่น การให้สัมภาษณ์"เนชั่นทีวี" ล่าสุด เกี่ยวกับการสรรหาตำแหน่ง"ประธานสภา" ในทำนองว่า "พรรคเพื่อไทย" และ"ก้าวไกล" จะงดการให้ความเห็นเรื่องประธานสภา ว่าเป็นของพรรคใดพรรคหนึ่งเพื่อลดความกังวลใจของประชาชนที่กำลังมองว่าประเด็น "ประธานสภา" จะเป็นอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาล
แม้จะทำให้บรรยากาศความร่วมมือจัดตั้งรัฐบาลผ่อนคลายความหวาดระแวงลง แต่หากจับท่าทีการให้สัมภาษณ์ก็ทำให้เห็นร่องรอย"ตำแหน่งประธานสภา" ยังไม่มีพรรคใดยอมให้แก่กัน เพียงแต่ตอนนี้ของดพูดถึงไปก่อนเท่านั้นเอง
เพราะในการให้สัมภาษณ์ครั้งนั้น เนชั่นทีวียังตั้งคำถาม จะนำไปสู่การเสนอชื่อแข่งขันให้ที่ประชุมสภาโหวตหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้ นพ.ชลน่านก็ยอมรับว่า เป็นสิ่งที่สองพรรคไม่ต้องการให้ไปถึงจุดนั้น
"การจะเสนอใครคนใดคนหนึ่งเข้าแข่งขันให้เกิดการโหวตในสภา เป็นสิ่งที่เราพูดกันว่า ไม่ต้องการให้เกิดสภาพนั้น เพราะฉะนั้น ทั้งเพื่อไทยและก้าวไกล จะได้หารือเพื่อหาข้อสรุปที่ดีที่สุด "
"นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว" หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อเนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.66
ตรงนี้ย่อมทำให้เห็นสองพรรค "ก้าวไกล" และ"เพื่อไทย" ต่างรับรู้ดีว่า หากการเลือกประธานสภาไปสู่จุดนั้น จะมีปัญหาใหญ่ที่จะตามมาอย่างแน่นอน นั่นคือ การเห็น ผู้ชนะและผู้แพ้กลางสภาที่อาจถึงขั้นสูญเสียการเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล!
อีกด้านหนึ่ง จะเห็นว่ามี "กลุ่มบุคคลในเพื่อไทย" พยายามบอกสังคม ว่า "เพื่อไทย"และ"ก้าวไกล"จับมือไปด้วยกัน ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน นั่นคือ "จาตุรนต์ ฉายแสง" ที่พยายามแสดงตนให้เห็นมาตลอดว่า เขามีอุดมการณ์แรงกล้าตามแบบฉบับ"นักสู้ประชาธิปไตย"
ทว่า บทบาทของ"คนเพื่อไทย" บอกอะไรกับสังคมท่ามกลางสมมติฐาน หาก"พิธา"ไปไม่ถึงฝั่งฝัน "เพื่อไทย"จะทำอย่างไร ตรงนี้ก็คงจำแนกให้เห็นถึงการแบ่งขั้วความคิดเป็น 3 ขั้วด้วยกัน
ขั้วแรก - บ้านใหญ่ แนวฮาร์ดคอร์ => เสนอตั้งรัฐบาลแข่ง ไม่เอาก้าวไกลร่วมรัฐบาล เพื่อทำผลงาน เตรียมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า (กลุ่มนี้ยังมี "อดิศร เพียงเกษ" , "อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด" , สมคิด เชื้อคง ด้วย)
ขั้วที่ 2 - ทีมยุทธศาสตร์ คนรุ่นใหม่ และผู้นำพรรคบางปีก => เป็นแนวซอฟต์ลงมาบ้าง รอส้มหล่น สถานการณ์เข้าทาง
ขั้วที่ 3 - กลุ่มคนเดือนตุลาฯ บางสาย => เลือกแนวทางไม่ทิ้งก้าวไกล ยึดมั่นในฝ่ายประชาธิปไตย
แต่ทุกขั้วความคิด คนตัดสินใจสุดท้ายคือ “เจ้าของพรรคตัวจริง”