
กำลังเป็นที่จับตากัน สำหรับศึกจัดตั้งรัฐบาล แม้ “พรรคก้าวไกล” จะได้จำนวน ส.ส. มากที่สุด และรวบรวม ส.ส.จากพรรคต่างๆ รวม 8 พรรค ได้เกินครึ่งหนึ่งของ สภา ส.ส. แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะต้องรอลุ้นผลโหวตของทั้ง 2 สภา (ส.ส. + ส.ว.) ให้ได้รับเสียงสนับสนุน 376 เสียงขึ้นไป ซึ่งสำหรับ “พรรคก้าวไกล” ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
นอกจากนั้น “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าและแคนดิเดตนายกฯ หนึ่งเดียวของพรรคก้าวไกล ก็มีปมถือหุ้นสื่อฯ ที่ “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นเรื่องให้ กกต.ตรวจสอบ โดยคาดว่า กกต. จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในเร็วๆ นี้ อีกทั้งยังมี “ข่าวสะพัดดีลลับสลับขั้ว” ออกมามากมาย
แม้ที่ผ่านมาพรรคที่ถูกโยง จะมาออกมาปฏิเสธแล้วก็ตาม แต่นานวันเข้า ก็เริ่มเห็นเค้าลางทางการเมืองที่ไม่ปกติ ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า หรือนี่จะเป็นอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่พรรคการเมืองที่ได้ ส.ส. มากที่สุด กลับต้องกลายไปเป็นฝ่ายค้าน ?
คำถามที่ตามมาก็คือ เอาเข้าจริงๆ แล้วเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในประเทศ สามารถกำหนดทิศทางทางการเมืองได้จริงหรือ ?
โดยในประวัติการเมืองไทยที่ผ่านมา หลังการเลือกตั้งมีอยู่หลายครั้งด้วยกัน ที่พรรคที่ได้ ส.ส. มากที่สุด นอกจากไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่ต้องกลับกลายไปเป็น “ฝ่ายค้าน” ซึ่งผู้เขียนเคยเล่าเรื่องนี้ในบทความที่ชื่อว่า “ย้อนรอยเกมการเมือง หักเหลี่ยมเฉือนคม ชิงจัดตั้งรัฐบาล” โดยขอนำมาเล่าสู่กันอีกครั้ง พร้อมข้อมูลเพิ่มเติมดังต่อไปนี้
ปี 2518 ประชาธิปัตย์ ได้ ส.ส. มากที่สุด แต่กลายเป็น “ฝ่ายค้าน”
ปี 2518 ได้มีการเลือกตั้งครั้งแรกหลังเหตุการณ์ “14 ตุลาคม 2516” ภายใต้รัฐธรรมนูญ ปี 2517 โดย “พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งในเวลานั้นมี “ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช” เป็นหัวหน้าพรรค ได้ ส.ส. มากที่สุดเป็นอันดับ 1 จำนวน 72 คน จากจำนวน ส.ส. ทั้งสิ้น 269 คน
แต่ “พรรคประชาธิปัตย์” ก็ไม่สามารถจัดตั้ง “รัฐบาลเสียงข้างมาก” ได้ เนื่องจากรวบรวมเสียง ส.ส. ได้เพียง 91 คน ไม่ถึง 135 คน ซึ่งเป็นตัวเลขกึ่งหนึ่งของสภา โดยพรรคที่เข้าร่วมรัฐบาลด้วยมีเพียง “พรรคเกษตรสังคม” ที่มีจำนวน ส.ส. 19 คน “พรรคประชาธิปัตย์” จึงจำต้องตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2518
ซึ่งสาเหตุที่ “พรรคประชาธิปัตย์” ไม่อาจ “ตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก” ได้ ว่ากันว่ามีหลายปัจจัยด้วยกัน อาทิ การประกาศก่อนวันเลือกตั้งว่า จะไม่จับมือกับบางพรรค การต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรี ที่ไม่ลงตัว
หรือแม้กระทั่ง “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” หัวหน้าพรรคกิจสังคม ซึ่งเป็นน้องชายของ “ม.ร.ว. เสนีย์” ก็ได้ประกาศไว้ก่อนวันเลือกตั้งว่า จะไม่ร่วมรัฐบาลกับ “พรรคประชาธิปัตย์” อย่างเด็ดขาด เนื่องจากไม่พอใจที่ถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงในช่วงการหาเสียง
และเมื่อ “พรรคประชาธิปัตย์” พยายามทาบทาม “พรรคกิจสังคม” ซึ่งมี ส.ส. 18 คน เข้าร่วมรัฐบาล “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์” ก็ได้ตอบปฏิเสธ แต่ยืนยันว่าจะยกมือโหวตให้ ในวันแถลงนโยบาย (รัฐธรรมนูญปี 2517 กำหนดให้ รัฐบาลต้องแถลงนโยบายต่อสภาฯ และต้องได้รับมติเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่ง)
ซึ่งนั่นก็คือฉากหน้าทางการเมือง ส่วนฉากหลังในช่วงเวลานั้น แต่ละพรรคมีการเดินเกมกันหลายชั้น โดยอีกฝั่งหนึ่งได้มีการรวมตัวกันของพรรคการเมืองต่างๆ เป็น “กลุ่มสหพรรค” โดยมี “พรรคกิจสังคม” ของ “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์” เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
และเมื่อถึงวันแถลงนโยบายของรัฐบาล แต่ละพรรคก็จัดหนักจัดเต็ม ถล่มนโยบายของ “พรรคประชาธิปัตย์” อย่างไม่มีชิ้นดี รวมถึง “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์” ก็วิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่ยั้ง ถึงกระนั้นก็ตามที ก็ยังทำตามสัญญาที่ให้ไว้ นั่นก็คือ ยอมโหวตให้ผ่าน
แต่เมื่อผลโหวตทั้งหมดออกมา ปรากฏว่า “พรรคประชาธิปัตย์” ถูกคว่ำกลางสภา ไม่ได้รับความไว้วางใจ 152 ต่อ 111 เสียง ทำให้ “ม.ร.ว.เสนีย์” ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้นำรัฐบาล
ต่อมาเมื่อมีการโหวตเลือกนายกฯ “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์” ก็ได้รับเสียงสนับสนุน 135 เสียง เกินกึ่งหนึ่งของสภาแบบเส้นยาแดงผ่านแปด ผงาดขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ของประเทศไทย ส่วน “พรรคประชาธิปัตย์” ต้องกลายไปเป็นฝ่ายค้านในที่สุด
แต่ถ้าว่ากันในแง่ประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการแล้ว ในปี 2518 ก็ถือว่า “ม.ร.ว. เสนีย์” สามารถก่อตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งได้สำเร็จ เป็นคณะรัฐมนตรี คณะที่ 36 แต่เป็นรัฐบาลที่อายุสั้นมาก (15 กุมภาพันธ์ 2518 - 14 มีนาคม ปี 2518) ไม่ถึง 1 เดือน และยังไม่ทันเริ่มปฏิบัติภารกิจ “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์” จากพรรคกิจสังคม ก็ขึ้นมาเป็นนายกฯ ส่วน “ม.ร.ว.เสนีย์” ผู้เป็นพี่ชาย ต้องกลับกลายไปเป็น “ผู้นำฝ่ายค้าน”
ปี 2522 กิจสังคม ชนะเลือกตั้ง แต่ต้องกลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน
การเลือกตั้งปี 2522 เป็นการเลือกตั้งครั้งแรก หลังเหตุหารณ์ "6 ตุลาคม ปี 2519" ตาม "รัฐธรรมนูญปี 2521" โดยรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวในบทเฉพาะกาลได้ให้อำนาจ ส.ว. 225 คน ที่มาจากการแต่งตั้ง สามารถโหวตเลือกนายกฯ ได้
ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า “พรรคกิจกรรมสังคม” ที่ขณะนั้น “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” ยังเป็นหัวหน้าพรรค ชนะการเลือกตั้ง ได้ ส.ส. 88 คน จาก ส.ส. ทั้งหมด 301 คน และสามารถรวมเสียง ส.ส. ได้ 190 เสียง แต่ "พรรคกิจสังคม" ก็ไม่สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ เนื่องจาก ส.ส.พรรคและกลุ่มการเมืองที่สนับสนุน "พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์" จำนวน 111 คน รวมกับ ส.ว. 200 คน (จากทั้งหมด 225 คน) ได้ร่วมกันโหวตให้ “พล.อ.เกรียงศักดิ์” เป็นนายกฯ ในสมัยที่ 2
ปี 2526 พรรคชาติไทย ชนะเลือกตั้ง แต่ต้องกลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน
การเลือกตั้งปี 2526 “พรรคชาติไทย” ที่ในเวลานั้น “พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร” เป็นหัวหน้าพรรค ชนะเลือกตั้งได้ ส.ส. มากที่สุด โดยมี “พรรคกิจสังคม” ของ “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” ตามมาเป็นอันดับที่ 2 ได้ ส.ส. 99 คน
โดย “พรรคกิจสังคม” ร่วมกับ "พรรคประชาธิปัตย์" ที่มี ส.ส. 56 คน และ "พรรคประชากรไทย" มี ส.ส. 33 คน ทำให้ได้จำนวนเสียง ส.ส. เกินกึ่งหนึ่งของสภา สนับสนุน “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” เป็นนายกฯ ส่วน “พรรคชาติไทย” แม้จะมี ส.ส. มากที่สุด แต่ก็ต้องกลับกลายไปเป็นพรรคฝ่ายค้าน
ปี 2562 พรรคเพื่อไทย ได้ ส.ส. มากที่สุด แต่ก็ต้องไปเป็นฝ่ายค้าน
ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แม้ “พรรคเพื่อไทย” จะได้ ส.ส. มากที่สุด แต่ก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งถ้าพิจารณาอย่างเจาะลึกก็จะเห็นว่า หาใช่เป็นการเดินเกมช่วงเวลาสั้นๆ แต่ได้มีการวางหมาก กลลวง กับดัก เพื่อเตรียมความพร้อมในการสืบทอดอำนาจไว้ก่อนหน้านี้แล้ว มีกระบวนการคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีแผน 1 แผน 2 แผน 3 กระทั่งแผน 4
อาทิเช่น กฎกติกาต่างๆ ทั้งรูปแบบการเลือกตั้งบัตรใบเดียว การคำนวณ ส.ส. พึงมี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ให้อภิสิทธิ์ ส.ว. 250 คน ที่มาจากการแต่งตั้ง สามารถโหวตเลือกนายกฯ ได้ และกำหนดให้ "ผู้ที่เป็นนายกฯ" ต้องได้รับเสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งของทั้ง 2 สภา หรือ 376 คนขึ้นไปนั่นเอง
แม้จะเสียเปรียบเต็มประตู ด้วยกฎกติกาที่พุ่งเป้าสกัด “พรรคเพื่อไทย” แต่จากชัยชนะในการเลือกตั้งทุกครั้ง ตั้งแต่ปี 2544 ทำให้ “พรรคเพื่อไทย” มั่นใจว่า จะสามารถชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายได้อีก
โดย “พรรคเพื่อไทย” ได้มีการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับกติกา “เอื้อพรรคขนาดเล็ก” ที่ดีไซน์ขึ้นเพื่อไม่ให้พรรคใดพรรคหนึ่งได้คะแนนเสียงท่วมท้นเกินไปนัก ด้วยการก่อตั้ง “พรรคเครือข่าย” ขึ้นมา ซึ่งเมื่อมาทางเวย์นี้ ก็ส่งผลให้ “พรรคเพื่อไทย” ส่งผู้สมัคร ส.ส. ครบทุกเขตไม่ได้ เพราะต้องเว้นพื้นที่ให้กับผู้สมัครของพรรคเครือข่ายด้วย
กระทั่งก่อนถึงวันเลือกตั้ง “ไทยรักษาชาติ” ซึ่งเป็น 1 ในพรรคเครือข่ายกำลังสำคัญที่ “พรรคเพื่อไทย” หมายมั่นปั้นมือให้เป็นอาวุธลับทางการเมือง ก็ถูก “ศาลรัฐธรรมนูญ” สั่งยุบพรรค ทำให้ในหลายพื้นที่ไม่มีผู้สมัคร ส.ส. จากพรรคเครือข่าย หรือตัวแทนของ “พรรคเพื่อไทย” เลย แต่กระนั้นก็ตาม “พรรคเพื่อไทย” ก็ยังได้ ส.ส. มากที่สุด โดยเป็น “ส.ส.เขต” ทั้งหมด ไม่ได้ “ส.ส. บัญชีรายชื่อ” แม้แต่คนเดียว จากพิษสูตรคำนวณ ส.ส. พึงมี นั่นเอง
ถึงแม้ “พรรคเพื่อไทย” จะได้ ส.ส. มากที่สุด แต่ด้วยแต้มที่ชนะไม่ขาดเหมือนการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ นำห่าง “พรรคพลังประชารัฐ” ไม่มากนัก ทั้งสองพรรคจึงเปิดศึกแย่งชิงการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งผู้ที่มีบทบาทสำคัญและโดดเด่น โชว์สกิลนักประสานขั้นเทพ ก็คือ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ผู้นำตัวจริงของ “พรรคพลังประชารัฐ” ในเวลานั้น
สถานการณ์หลังการเลือกตั้ง “พรรคพลังประชารัฐ” มีความได้เปรียบ “พรรคเพื่อไทย” อยู่หลายขุม ด้วยกลไกต่างๆ ที่เตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยเฉพาะฐานเสียง ส.ว. 250 ที่สามารถโหวตเลือกนายกฯ ได้ ทำให้มีแต้มต่อในการโน้มน้าวพรรคการเมืองต่างๆ ให้ตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลกับ “พลังประชารัฐ”
กระทั่งในที่สุด “พรรคพลังประชารัฐ” ก็สามารถรวบรวมเสียง ส.ส. ได้เกิน 250 แบบปริ่มน้ำ และก็เป็นไปตามคาด ส.ว. ทั้งหมด (ยกเว้นประธาน ส.ว. ตามมารยาทการเมือง) ก็ได้เทคะแนนให้ “บิ๊กตู่ - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ก้าวสู่ขึ้นอำนาจอีกครั้ง ในฐานะนายกรัฐมนตรี คนที่ 29 สมัยที่ 2
แต่ถ้านับเหตุการณ์ทั้งหมด พรรคที่ชนะเลือกตั้งแต่กลับต้องไปเป็น “พรรคฝ่ายค้าน” ก็ยังมีอีก 2 ครั้งด้วยกัน คือใน ปี 2540 จากเกมการเมือง “งูเห่า ภาค 1” และ ในปี 2551 จากเกมการเมือง “งูเห่า ภาค 2” แต่ทั้ง 2 ครั้งดังกล่าว รัฐบาลได้ปฏิบัติหน้าที่มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ก่อนถูกเกมพลิกขั้ว จึงไม่ได้นำมาเล่าสู่กันในครั้งนี้ด้วย
ที่มา ย้อนรอยเกมการเมือง หักเหลี่ยมเฉือนคม ชิงจัดตั้งรัฐบาล
อ้างอิงเพิ่มเติม
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2522
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2526
ประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญ’21 ต้นแบบกติกาที่ให้อำนาจ ส.ว. แต่งตั้งเลือกนายกฯ