
กลายเป็นประเด็นร้อนส่งท้ายรัฐบาล"พล.อ.ประยุทธ์" ก่อนเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลใหม่ เมื่อจู่ๆ มีรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศ ระบุว่า สหรัฐอเมริกาจะไม่ขาย"เครื่องบินขับไล่ F-35A" ให้กองทัพไทย บางสำนักยังอ้างถึงเหตุผลที่สหรัฐไม่ขายเครื่องบินเอฟ 35 โยงประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ ว่า ไทยมีความใกล้ชิดกับจีน
ต่อมา แหล่งข่าวจากกองทัพอากาศ ให้ข้อมูลว่า กรณีสหรัฐอเมริกา ไม่ขาย "เครื่องบินขับไล่ F-35A" ให้ไทย น่าเกิดขึ้นจากความเคลื่อนไหวช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา"ทูตสหรัฐอเมริกา"ได้เข้าพบ "พล.อ.อ.อลงกรณ์ วัณณรถ" ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) เพื่อชี้แจงความคืบหน้า โครงการจัดซื้อ"เครื่องบินขับไล่เอฟ- 35 A " ของกองทัพอากาศ ที่ร้องขอไปยังสหรัฐฯ
เบื้องต้น ระบุว่า ยังไม่ขายให้ ขอชะลอการซื้อขายไปก่อน โดยให้เหตุผลให้กองทัพอากาศไทยยังไม่มีความพร้อมในเรื่องอาคารสถานที่ การรักษาความปลอดภัย โดยเขาจะให้ความสำคัญในเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องข้อมูลข่าวสารเป็นอันดับแรก
ทั้งนี้ เชื่อว่าทางสหรัฐฯ คงยังกังวลเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับจีนเพียงแต่เขาไม่พูด บอกเพียงแค่ว่า ให้ทางกองทัพอากาศมีความพร้อมก่อน หากพร้อมเมื่อใดก็ให้มาคุยกันใหม่
ท่ามกลางคำถาม เพราะเหตุใด "กองทัพอากาศ"ถึงมีความประสงค์ "เครื่องบินขับไล่รุ่น F-35 A " ประเด็นนี้ คงต้องย้อนลำดับเหตุการณ์ ตั้งแต่ช่วงที่ "พล.อ.อ. นภาเดช ธูปะเตมีย์" ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ทอ.) ขณะนั้น ได้มีแนวความคิด ในการจัดหาเครื่องบินขับไล่ รุ่นใหม่ มาทดแทน "เครื่องบินเอฟ- 5" และ "เอฟ -16" ที่กำลังปลดประจำการ
"ไทยควรรีบซื้อในขณะนี้ ในช่วงที่ราคาเครื่องบินลดลงจากเดิมที่ 142 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อลำ ลงมาเหลือ 82 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อลำ ซึ่งเป็นการซื้อเข้ามาประจำการทดแทนเครื่องบินขับไล่รุ่นเก่าของกองทัพ คือ F-5 และ F-16"
"พล.อ.อ. นภาเดช ธูปะเตมีย์" กล่าวเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2565
หรือแม้แต่ช่วงที่เครื่องบินรบเมียนมาล้ำเข้ามาดินแดนไทย ที่.อ.พบพระ จ.ตาก "ผบ.ทอ."ขณะนั้น ยังเคยให้สัมภาษณ์ ที่เชียงราย เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 65 ว่า โครงการจัดหา"เครื่องบินเอฟ-35" เป็นโครงการที่จะทำให้เกิดความทันสมัยขึ้นในทุกองคาพยพของกองทัพอากาศ
"ถ้าเราคิดจะมีของดี ผมไม่อยากให้คนไทยเราขัดขากันเอง เพราะเราจะพลาด สู้เราช่วยกันสนับสนุนได้มาดีกว่า แม้จะพลาด ก็ขอให้เป็นขั้นตอนที่เขาไม่ขายให้เรา ไม่ใช่เราขัดขา โยกเยกกันเอง จนเราพลาดตั้งแต่ยกแรก ไม่ใช่ยกสุดท้าย” ผบ. ทอ. กล่าว
จึงมีความพยายามขั้นต่อไป ด้วยการตั้งโครงการ แผนการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน ระยะที่ 1 จำนวน 4 ลำ ใช้เงินงบประมาณกว่า 7,382.6 ล้านบาท
12 มกราคม 2566 "พล.อ.ต.ประภาส สอนใจดี" โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการนำเสนอข่าวว่า ที่ประชุม ครม.เมื่อวานนี้ (11 ม.ค.) ได้อนุมัติกรอบงบประมาณของปี 2566 และการผูกพันงบประมาณที่เกิน 1,000 ล้านบาทของกองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยรวมทั้งโครงการเป็นการพิจารณาจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีของกองทัพอากาศ เพื่อทดแทนเครื่องบิน F-16 งบประมาณ 13,800 ล้านบาทนั้น
"ครม.ได้อนุมัติจัดซื้อเครื่องบินรบฝูงใหม่ เสนอของบประมาณปี 2566 วงเงิน 13,800 ล้านบาท จำนวน 4 เครื่องแรก จัดซื้อผูกพัน 4 ปี ตั้งแต่ปี 2566-2569 แต่ยังไม่ระบุว่าจะซื้อ F-35"
ถึงกระนั้น เมื่อวันที่ 18 ก.ค.66 คณะกรรมาธิการฯงบประมาณ 66 ได้เชิญ ผู้แทนกองทัพเข้าชี้แจงกรณีการจัดทำแผนจัดซื้อเครื่องบินขับไล่เอฟ -35 ครั้งนั้น "ผู้แทนกองทัพอากาศ" ชี้แจงว่า กรณีโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน ระยะที่ 1 จำนวน 4 ลำ เป็นความคลาดเคลื่อนทางเอกสาร โดย "ทอ." ตั้งใจว่าจะตั้งงบประมาณเพื่อจัดหา 2 ลำ จากเดิม 4 ลำ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศช่วงนี้
การชี้แจงต่อกรรมาธิการฯ ครั้งนั้น "อดีตผบ. ทบ." ระบุว่า การจัดหาเครื่องบินเอฟ-35 เป็นก้าวสำคัญของประเทศเพื่อบ่งบอกถึงความทันสมัยของกองทัพอากาศ และการจัดหาเครื่องบินดังกล่าวต้องผ่านการพิจารณาของสภาคองเกรส จึงดำเนินการจัดซื้อได้ ปัจจุบันยังมิได้รับการพิจารณาจากสภาคองเกรส ซึ่งการได้รับอนุญาตเป็นกระบวนการส่วนหนึ่งในการจัดซื้อ
"ทอ." ยังได้ให้เหตุผล 2 ข้อว่า เพื่อทดแทนของเดิมที่มีอายุการใช้งานมานาน อะไหล่ในการซ่อมบำรุงหายากและมีราคาสูง และเพื่อยกระดับกองทัพให้มีความทันสมัยทั้งหมด และเป็นจุดเริ่มต้นของเครื่องบินรบยุคที่ 5
ถ้าหากประเทศไทยได้เครื่องบินเอฟ-35 การดูแลรักษาเทียบกับค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงเครื่องบินที่มีอายุการใช้งานมานาน การดูแลรักษาเครื่องบินใหม่จะทำให้ประหยัดงบประมาณ ดังนั้น การที่ได้รับงบประมาณอันจำกัดหน่วยงานต้องใช้งบประมาณให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการฯ ได้มีข้อสังเกตว่า การจัดหา"เครื่องบินขับไล่เอฟ-35" ที่ต้องได้รับการพิจารณาและอนุมัติจากสภาคอง เกรสก่อน ดังนั้น กองทัพอากาศ ควรให้สภาคองเกรสพิจารณาและอนุมัติในการจัดหาเครื่องบินเอฟ-35 เป็นที่เรียบร้อยก่อน จึงดำเนินการตั้งค่าของบประมาณในปีถัดไป
ที่ประชุมกมธ.ฯแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าเป็น"นายสมชัย ศรีสุทธิยากร" กมธ.งบประมาณ ปี 2566 ซึ่งต่อมาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ "เจาะลึกทั่วไป อินไซต์ไทยแลนด์" ถึงงบประมาณ 369.1 ล้านบาท ที่อนุมัติให้กองทัพอากาศ เพื่อไปมัดจำ"เครื่องบินรบเอฟ-35 เอ" พร้อมประเมินสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
1. สภาคองเกรสไม่อนุมัติขายเครื่องบินให้ไทย หมายความว่าไทยไม่เสียเงิน 369.1 ล้านบาท และเงินที่ผูกพันต่อจากนี้ 4 ปี ทั้ง 7,382.6 ล้านบาท จะต้องยกเลิกทั้งหมด
2. ค่าเงินบาทแปรปรวนจนถึงจุดที่ทำให้ราคาเครื่องบินแพงเกินไป ไทยจะยกเลิกการสั่งซื้อ และให้กองทัพอากาศคืนเงินมัดจำกลับมา ไม่อนุญาตให้เปลี่ยนแปลงรายการสั่งซื้อในงบประมาณเป็นพาหนะ หรืออากาศยานรุ่นอื่น
"สมชัย" ยังเปิดเผยถึงแผนเต็มของกองทัพอากาศในการจัดซื้อเครื่องบินรบเอฟ-35 ด้วยเหตุผลถึง "สมรรถนะทางการรบ" และ "ทำงานประสานกันเป็นทีม" กองทัพอากาศต้องมี 1 ฝูง หรือทั้งสิ้น 12 ลำ
"แต่การที่จะซื้ออีก 10 ลำ เป็นเรื่องที่ไม่ได้ผูกพันกับรัฐสภาและกรรมาธิการใด ๆ ทั้งสิ้น...เพราะต้องขอ (งบประมาณ) มาเป็นครั้งๆ" ที่มาข้อมูล : บีบีซีไทย
9 มีนาคม 2566 "พล.อ.อ.อลงกรณ์ วัณณรถ" ผู้บัญชาการกองทัพอากาศ (ผบ.ทอ.) กล่าวถึงกระแสข่าวสหรัฐฯ จะไม่ขาย"เครื่องบินขับไล่เอฟ-35" ให้กองทัพอากาศไทย ว่า อย่าเพิ่งพูดว่าสหรัฐฯ ไม่มีทางขาย"เครื่องบินขับไล่เอฟ-35" เพราะยังอยู่ระหว่างรอการพิจารณาและคำตอบจากรัฐบาลสหรัฐฯ ห้วงเวลา ม.ค.-ก.ค. 66 ซึ่งในส่วนงบประมาณได้มาเรียบร้อยแล้ว 7,392 ล้านบาท จากงบประมาณปี 66 และอย่างที่เคยตอบมีโอกาสความเป็นไปได้คือ 50:50 ดังนั้นตราบใดที่ยังไม่ 100% ก็ยังไม่พูด แต่ได้เตรียมแผนบริหารความเสี่ยงไว้ และไม่ใช่เรียกว่าแผนการจัดหาทดแทน
"ได้มองหาเครื่องบินรบเจเนอเรชั่นที่ 5 ของประเทศอื่นที่พร้อมจะขายให้ ทอ.มองหมดทุกข่ายทั้งสหรัฐฯ หรือ สวีเดน และศึกษาอยู่ในแผนบริหารความเสี่ยง ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามอย่างใกล้ชิด อีกทั้ง ทอ.ได้แจ้งต่อสหรัฐฯ ว่า ไม่ว่าผลจะออกทางไหนจะไม่มีผลกระทบใดๆต่อความสัมพันธ์กับทางสหรัฐฯ เพราะปีนี้รัฐบาลไทยกับสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ต่อกันนานถึง 190 ปี เป็นความสัมพันธ์ที่แนบแน่นยาวนาน ดังนั้นการตัดสินใจที่จะขาย-ไม่ขาย จะไม่มีผลกระทบใดๆ" ผบ.ทอ. กล่าว ทิ้งท้าย