svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

“ส.ว.เสรี” หนุนรับ ! ชงแก้ “ม.158” ยกเลิกวาระนายกฯ 8 ปี

13 มกราคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

“เสรี” หนุน รับ กมธ.พัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา ชงรื้อ รธน. ม.158 ยกเลิกวาระ 8 ปี นั่ง “นายกฯ” ไม่จำกัด ปัดกรุยทาง “บิ๊กตู่” อยู่ยาว เย้ยเพื่อไทยกลัวไปเอง ยังไม่ทันเลือกตั้ง

13 มกราคม 2566  นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ระบุ กมธ. การพัฒนาการเมืองฯ มีแนวคิดกำลังจะพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นนายกฯ ได้ครบวาระ 4 ปีว่า ประเด็นนี้เป็นเรื่องของการเสนอประเด็นการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ซึ่งมีอยู่ 5 หัวข้อใหญ่ โดยหนึ่งในนั้น คือการพัฒนาปรับปรุงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันว่า มีข้อที่ต้องพัฒนาแก้ไขอย่างไรหรือไม่

ซึ่งเป็นหัวข้อเดิมหลักของการรายงานในสภาฯ อยู่แล้ว สำหรับหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้คือสถาบันพระปกเกล้า ที่จะเสนอมาหลายประเด็น แต่ทาง กมธ.ฯ จะพิจารณาว่ามีประเด็นอื่นอีกหรือไม่

“เมื่อดูแล้ว ทางกมธ.ฯ จึงเสนอประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 ที่กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี ที่รัฐธรรมนูญเดิมก่อนฉบับ พ.ศ.2550 ไม่มีการกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ แต่ปัจจุบันเมื่อเรามาศึกษาดู พบว่า การกำหนดเวลา 8 ปี ยังจำเป็นอยู่หรือไม่ เพราะบางประเทศยอมรับเสียงประชาชนเป็นผู้กำหนด ดังนั้นใครจะเป็นนานเท่าไหร่ หรือจะเป็นนานกี่ครั้ง อยู่ที่เสียงประชาชน ไม่จำเป็นต้องไปกำหนด 8 ปี

ยกตัวอย่างจีน ที่สีจิ้นผิง ตอนแรกให้ 2 สมัย แต่ตอนนี้ให้ 3 สมัย ไม่ใช่เป็นกฎตายตัว เราจึงเห็นว่า เมื่อมีข้อเสนอจะแก้ไขเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องที่ใช้กับทุกพรรคการเมือง เพราะเรายังไม่รู้เลยว่า ใครจะชนะเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย บอกว่าจะแลนด์สไลด์ แล้วจะมาบอกว่าแก้รัฐธรรมนูญเพื่อ พล.อ.ประยุทธ์ แสดงว่า พรรคเพื่อไทยคิดจะเป็นฝ่ายค้านตลอดหรืออย่างไร ตอนนี้พรรคเพื่อไทยกลัว พล.อ.ประยุทธ์ ไปเองหรือเปล่า” นายเสรี กล่าว

เสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน

นายเสรี กล่าวว่า หากมีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่จำกัดวาระ 8 ปี ได้จริง ใครเป็นรัฐบาลในสมัยเลือกตั้งคราวต่อไป ก็ใช้กติกานี้ได้ หรือจะไปแก้ไขตอนหลังก็สามารถทำได้ ขณะนี้เป็นเพียงข้อศึกษา และข้อเสนอ การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่ว่า  กมธ.ฯ เสนอแล้วจะแก้ได้เลยที่ไหน เพราะต้องใช้เสียงของทั้งสองสภา อย่างน้อยต้องใช้เสียงส.ว. 1 ใน 3 และเสียง ส.ส. ฝ่ายค้าน 20%

เมื่อถามว่า หากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ ต้องใช้เวลานานเท่าใด และจะเสร็จในรัฐบาลนี้ หรือรัฐบาลหน้า นายเสรี กล่าวว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่า เสียงในสภาจะเอาอย่างไร ถ้าสภาไม่อยากได้ ก็ล่มไปล่มมา 

ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลว่าสังคมจะกล่าวหาว่า ส.ว. ทำงานรับใช้ เพื่อให้พล.อ.ประยุทธ์ สืบทอดอำนาจหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า ไม่หรอก เราต้องยอมรับว่า ถ้ามีประเด็นกี่เรื่องเราต้องเสนอให้หมด และพรรคเพื่อไทยเสนอให้ลดอำนาจ ส.ว. ไม่ให้เลือกนายกฯ โดยไม่ห่วงว่าใครจะคิดอย่างไร ส่วนประเด็นไม่จำกัดวาระนายกฯ เป็นเพียงแค่เงา แต่พรรคเพื่อไทยก็กลัวแล้ว 

เมื่อถามว่า จากรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองต่างๆ ที่เปิดตัวมา ใครพอที่จะมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ นายเสรี กล่าวว่า ขณะนี้ ส.ว. ยังไม่ได้พูดคุยกันเลย เพราะถ้าคุยกันจริงก็ไม่มีเหตุผล เพราะยังไม่รู้เลยว่าพรรคการเมืองใดที่ได้ ส.ส.อย่างน้อย 25 ที่นั่ง เพื่อมีสิทธิเสนอแคนดิเดตนายกฯ เพียงแต่ว่าคิดกันไปเองว่า พล.อ.ประยุทธ์ หรือ คสช. เลือก ส.ว. มา ส.ว. ก็จะไปทางนี้ ส่วนหลักการที่บอกว่านายกฯ ควรมาจากพรรคการเมืองที่ได้เสียงมากที่สุดของสภาฯ นั้น โดยหลักควรจะเป็นอย่างนั้น 

แต่ที่ผ่านมา แต่ละพรรคการเมืองใหญ่ ถึงเวลาจริงยังไปเสนอแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเล็กเป็นนายกฯ เลย คือไม่ได้เอาเสียงของตัวเองเป็นหลัก คราวที่แล้วพรรคเพื่อไทยยังไปเสนอนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ดังนั้นวัฒนธรรมนี้ จึงไม่มีใครยึดเป็นแบบอย่างในแนวทางนี้ จึงอยู่ที่ว่าใครมีเสียงในสภาฯ เกินกว่ากึ่งหนึ่ง และสนับสนุนให้บุคคลนั้นเป็นนายกฯ ยกตัวอย่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อยู่พรรคกิจสังคม มี 18 เสียง สภาฯ ยังให้เป็นนายกฯ​ ได้เลย นายอานันท์ ปันยารชุน ไม่มี ส.ส. ก็เป็นนายกฯ ได้ การยกหลักการนี้ขึ้นมาพูด เป็นเพียงการกล่าวอ้างเป็นหลักการสำคัญเท่านั้น ถึงเวลาจริงเปลี่ยนแปลงได้หมด นี่คือการเมืองไทย.

 

logoline