Highlights
--------------------
ย้อนวิวัฒนาการกลายพันธุ์ของโควิด-19
นับตั้งแต่สายพันธุ์เดิมจากจีนที่อุบัติขึ้นปลายปี 2562 โควิด 19 ได้คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปกว่า 5.2 ล้านคนแล้ว โควิด 19 ได้กลายพันธุ์ออกไปหลายสายพันธุ์ เพราะไวรัสมีการพัฒนาสายพันธุ์ต่อเนื่อง และสามารถปรับตัวเข้ากับร่างกายมนุษย์ที่มันอาศัยอยู่ ยิ่งกลายพันธุ์ยิ่งระบาดได้เร็ว และมีคุณสมบัติที่เหนือชั้นยิ่งขึ้น
ย้อนกลับไป โควิด 19 เริ่มระบาดจากประเทศจีน ด้วย 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ S (Serine) และสายพันธุ์ L (Leucine) และเมื่อระบาดมาสู่นอกประเทศจีน สายพันธุ์ L ที่แพร่กระจายได้ดีกว่า ได้แบ่งลูกหลานออกเป็นสายพันธุ์ G (Glycine) และสายพันธุ์ V (Valine) สายพันธุ์ G มีวิวัฒนาการได้มากกว่า แพร่กระจายโรคได้มากกว่า และไประบาดหนักหลายประเทศ ทั้งในฝั่งยุโรป อเมริกา และเอเชีย จากนั้นก็แตกออกเป็น 3 สายพันธุ์ คือ GH (Histidine) GR (Arginine) และ GV (Valine)
หากจำได้ สายพันธุ์ GH เคยเข้ามาแผลงฤทธิ์ในประเทศไทยช่วงการระบาดระลอก 2 เดิมทีสายพันธุ์นี้ระบาดหนักในประเทศอินเดีย เชื่อว่าเชื้อยังเข้าไประบาดในพม่า ก่อนที่จะเล็ดลอดเข้ามาประเทศไทยจากแรงงานที่ลักลอบเข้าประเทศ แล้วมาปะทุที่ตลาดกลางกุ้ง สมุทรสาคร
ยิ่งกลายพันธุ์ ยิ่งกระจาย = ยิ่งกระจาย ยิ่งกลายพันธุ์
ก่อนหน้านี้ในเอเชียสายพันธุ์ L ดั้งเดิม จะดำรงอยู่นานกว่าและไม่มีการกลายพันธุ์เพิ่ม เนื่องจากหลายประเทศรวมทั้งจีนได้ปิดพรมแดนและควบคุมการเดินทาง ตรงข้ามกับฝั่งอเมริกาเหนือและยุโรปที่ไม่ได้ควบคุมการเดินทางเข้มงวด ทำให้สายพันธุ์ L นั้นกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ G แล้วกลายพันธุ์ออกไปอีกหลายสายพันธุ์
เมื่อไวรัสแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง จะมีการผสมผสานสายพันธุ์มากขึ้น และมีคุณสมบัติทนทานมากขึ้น ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ ดังนั้นการป้องกันการกลายพันธุ์ คือต้องควบคุมไม่ให้ยิ่งแพร่กระจายเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกประเทศต้องดำเนินการ
การกลายพันธุ์ของโควิด 19 ช่วงที่มีการระบาดหนักนอกประเทศจีน โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา พบว่า เริ่มกระจายในลักษณะ “ซูเปอร์สเปรดเดอร์” หมายความว่า ไวรัสไม่ได้ติดต่อจาก 1 คนสู่อีก 1 คน แต่สามารถกระจายไปติดหลายๆคนในครั้งเดียว
แสดงให้เห็นว่าไวรัสมีความสามารถที่จะจับตัวกับเซลล์ในร่างกายมนุษย์ได้ดีขึ้น และทำให้คนจำนวนมากติดเชื้อได้ง่าย แม้จะมีผู้มีเชื้อแค่คนเดียว การเพิ่มขึ้นของสายพันธุ์เกิดขึ้นพร้อมกับสถานการณ์ที่โควิด-19 ระบาดมากขึ้นทั่วโลก โควิดกลายพันธุ์รุกเข้าสู่พื้นที่ใหม่ๆมากขึ้น
สายพันธุ์อังกฤษ ตัวร้ายที่เรายังจดจำ
ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี 2564 ที่ผ่านมา ประเทศไทยเกิดการระบาดระลอก 3 จากกลุ่มนักเที่ยวติดเชื้อ “สายพันธุ์อังกฤษ” จากกาสิโนในกัมพูชา และนั่นทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตพุ่งสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และกลุ่มเสี่ยงเสียชีวิตเริ่มพบในวัยกลางคน หรือหนุ่มสาวมากขึ้น จากเดิมจะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรังเท่านั้น
สายพันธุ์อังกฤษ หรือ อัลฟา ใครได้ยินช่วงนั้นก็หลอนไปตามๆกัน เพราะเกือบจะทำลายระบบสาธารณสุขในประเทศไทย ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่ทำสถิติสูงที่สุดนับในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จำนวนทะลุ 20,000 คนต่อวัน ทำให้มีปัญหาเตียงรักษาไม่พอ เกิดความโกลาหลวุ่นวายเป็นอย่างมาก
โควิดสายพันธุ์อัลฟา มีชื่ออย่างทางการว่า ไวรัสซาร์ส-คอฟ-2 ( SARS-CoV-2) ถูกพบครั้งแรกในอังกฤษเมื่อเดือน ก.ย.2020 และในช่วงวันที่ 9 ธ.ค. และมีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 28% หลังจากผ่านไป 1 สัปดาห์ที่พบครั้งแรก แสดงว่าเชื้อแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะแพร่ระบาดไปทั่วโลก
สายพันธุ์อัลฟา มีความสามารถในการแพร่เชื้อเพิ่มขึ้นถึง 70% เพราะ ไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโปรตีนตรงส่วนหนามบนผิวของไวรัส ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้เชื้อไวรัสเกาะติดกับเซลส์ของมนุษย์ และแพร่เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น ทำให้ไวรัสสามารถแพร่เชื้อได้รวดเร็วขึ้นจากสายพันธุ์เดิม คือ จาก 1.1 เท่า เป็น 1.5 เท่า
เมื่อไวรัสรู้จักหลบภูมิคุ้มกัน ลดประสิทธิภาพวัคซีน
สายพันธุ์อัลฟา แพร่ระบาดไปทั่วโลก รวมถึงอินเดีย ที่เกิดการระบาดหนักในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อสูงสุดถึงวันละกว่า 4 แสนคน ผู้เสียชีวิตสูงสุดถึงวันละกว่า 3 แสนคน ติดต่อกัน จากนั้นสายพันธุ์นี้ก็เริ่มมีการพัฒนาสายพันธุ์กลายเป็น “สายพันธุ์เดลต้า” หรือ สายพันธุ์อินเดีย
สายพันธุ์เดลต้า มีชื่อเรียกทางการว่า “B.1.61 7” เกิดจากการกลายพันธุ์ 2 จุด (double mutant) และเมื่อเกิดการระบาดอย่างรวดเร็วในอินเดีย ก็พบว่าได้มีการกลายพันธุ์ใหม่อีกครั้งเป็น 3 จุด (triple mutant variant) เวลานั้น ส่งผลให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น แพร่กระจายได้เร็วขึ้น
1 ใน 3 ตำแหน่งที่กลายพันธุ์ครั้งนี้ คือ จุด E484K ที่เกี่ยวข้องกับการหลบหนีการตรวจจับของภูมิคุ้มกัน ทำให้ประสิทธิภาพวัคซีนลดลง ซึ่งตำแหน่งนี้มีลักษณะเดียวกับ “สายพันธุ์เบต้า” และ “สายพันธุ์แกมมา”
“โอมีครอน”สายพันธุ์น่ากลัวตัวใหม่ในรอบ 6 เดือน
หลังจากที่‘สายพันธุ์เดลต้า’ ขยับขึ้นมาเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก แทนที่ สายพันธุ์อัลฟ่า เเละ ถูกองค์การอนามัยโลกขึ้นบัญชีเป็นเชื้อกลายพันธุ์ที่น่ากังวลเมื่อเดือนพฤษภาคม ผ่านไป 6 เดือน ล่าสุด 26 พ.ย.ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกประกาศเพิ่ม 1 สายพันธุ์ใหม่ในบัญชี นั่นคือ “สายพันธุ์โอมีครอน”
หากสายพันธุ์ใดถูกจัดในกลุ่ม “เชื้อกลายพันธุ์ที่น่ากังวล” มีนัยสำคัญต่อสาธารณสุขโลก เช่น แพร่ระบาดได้ง่าย หรือทำให้วัคซีนมีประสิทธิภาพลดลง เดิมทีมีสายพันธุ์ในกลุ่มนี้อยู่ 4 ชนิด ได้แก่ อัลฟา เบต้า แกมมา เดลต้า
สำหรับ “สายพันธุ์โอมีครอน” หรือ B.1.1.529 เป็นตัวที่ 5 ในบัญชี เพราะมีจำนวนการกลายพันธุ์ที่สูงมากจนน่าวิตก จากการพบครั้งแรกที่แอฟริกาใต้ พบว่ามีการกลายพันธุ์ของยีนมากถึง 50 ตำแหน่ง
การกลายพันธุ์รอบใหม่นี้ นอกจากจะทำให้ไวรัสแพร่ได้ไว หลบภูมิต้านทานได้ดีแล้ว มีหลักฐานบ่งชี้ว่าอาจจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นทำให้เกิดการกลับมาติดเชื้อซ้ำได้
โอมีครอนน่ากลัว แต่เวลานี้เดลต้ายังน่ากลัวกว่า
องค์การอนามัย หรือ WHO เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (29 พ.ย.) ว่า แม้เวลานี้ ทั่วโลกกำลังหวั่นวิตกต่อสายพันธุ์โอมีครอน แต่ในปัจจุบัน สายพันธุ์เดลต้า ยังคงเป็นสายพันธุ์หลักที่กำลังระบาดอยู่ทั่วโลก
Soumya Swaminathan หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ องค์การอนามัยโลก ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า “กว่า 99% ของผู้ติดเชื้อทั่วโลก ล้วนเป็นสายพันธุ์เดลต้า และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน”
การต่อสู้กับโควิด 19 สายพันธุ์เดิม และสายพันธุ์ใหม่ หลายคนยังฝากความหวังกับวัคซีน แม้ที่ผ่านมาจะ และประสิทธิภาพวัคซีนทำได้เพียงช่วยป้องกันการติดเชื้อ และป่วยหนักได้ แต่ยังไม่มีวัคซีนชนิดใดป้องกันไม่ให้ติดโควิดได้ 100%
เวลานี้บริษัทผู้ผลิตวัคซีนทัวโลก กลับมามีภาระหนักอีกครั้ง เพราะนอกจากต้องพัฒนาวัคซีนเพื่อต่อสู้กับสายพันธุ์เดิมๆที่มีอยู่ก่อน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ยังต้องคิดค้นวัคซีนเพื่อต่อสู้กับสายพันธุ์ใหม่ อย่างโอมีครอนด้วย
ล่าสุด บริษัทผู้ผลิตวัคซีน 2 เจ้าใหญ่ ได้แก่ Pfizer-BioNTech และ Moderna ประกาศว่า กำลังเตรียมปรับรูปแบบวัคซีนหากจำเป็น
ด้าน Jesse Bloom นักชีววิทยาด้านวิวัฒนาการที่ศูนย์วิจัยด้านมะเร็ง Fred Hutchinson ในซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า "สายพันธุ์ใหม่นี้ ยังมีตัวแปรใหม่อีกมากที่เราอาจต้องทำความเข้าใจ และเตรียมพร้อมรับมือ คาดว่าอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จะมีความชัดเจนมากขึ้นว่าสายพันธุ์นี้ สามารถแพร่กระจายได้มากน้อยเพียงใด และมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะผลักดันการผลิตวัคซีนเพื่อต้านไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้
สรุป
หากวัคซีนยังไม่ใช่คำตอบในการหยุดวงจรการระบาด โควิด 19 เวลานี้คงมีทางเดียวที่ทุกคนยังสามารถช่วยกันได้ คือ ต้องหยุดยั้งการแพร่กระจายเชื้อ เพื่อป้องกันไม่ให้กลายพันธุ์ไปมากไปกว่านี้ และภาวนาขอให้มีเทคโนโลยีใหม่ๆออกมาสกัดกั้นวงจรกลายพันธุ์ของไวรัสร้าย
แม้เรายังไม่สามารถเอาชนะสงครามโรคที่ยืดเยื้อนี้ได้ แต่เชื่อว่าปาฏิหาริย์ยังมีเสมอ
--------------------
ที่มา