แมตช์ไฮไลต์ประจำกลุ่ม C ของศึกฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 2025 คืนนี้เป็นการพบกันระหว่าง “เหยี่ยวลิสบอน” เบนฟิก้า ที่ต้องการเพียงผลเสมอเพื่อผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย กับ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ที่แม้จะการันตีการเข้ารอบไปแล้ว แต่ยังต้องการสามแต้มเพื่อคว้าแชมป์กลุ่มและหลีกเลี่ยงการเจอทีมแกร่งในรอบต่อไป
เบนฟิก้าภายใต้การคุมทีมของ บรูโน่ ลาจ เริ่มต้นทัวร์นาเมนต์ด้วยการเสมอโบคา จูเนียร์ส 2-2 ก่อนถล่มโอ๊คแลนด์ ซิตี้ 6-0 โดยจุดแข็งที่เห็นได้ชัดคือประสิทธิภาพในแดนหน้า ซึ่งมีนักเตะหลายคนมีส่วนร่วมในการทำประตู โดยเฉพาะ อังเคล ดิ มาเรีย ที่ยิงได้ 2 ลูก ขณะที่แนวรุกคนอื่นอย่าง วานเกลิส พาฟลิดิส, เคเร็ม อัคตูร์โคกลู และ จานลูก้า เปรสเตียนนี ต่างก็แสดงศักยภาพได้ดี
ตอนนี้ เบนฟิก้ายิงได้อย่างต่อเนื่องถึง 17 นัดติดต่อกัน ซึ่ง 13 นัดในนั้นยิงได้อย่างน้อย 2 ลูก ถือเป็นทีมที่อันตรายหากคู่แข่งประมาท
ในแนวรับ อันโตนิโอ ซิลวา ยืนคู่กับ นิโกลัส โอตาเมนดี้ ส่วนแดนกลางอาจเลือกใช้คู่หูอย่าง ออร์คุน ค็อกชู กับ เลอันโดร บาร์เรโร ที่ทำผลงานได้น่าประทับใจในเกมล่าสุด
ด้านบาเยิร์น มิวนิค ของ แว็งซ็องต์ กอมปานี 2 นัดแรกคว้าชัยเหนือโอ๊คแลนด์ ซิตี้ และโบคา จูเนียร์ส ด้วยสกอร์รวม 5-1
ไฮไลต์ของทีมคือเกมรุกที่มีประสิทธิภาพสูง จามาล มูเซียล่า, คิงส์ลีย์ โกมัน และ ไมเคิล โอลิเซ่ เป็นตัวเลือกเบื้องหลัง แฮร์รี เคน ที่ยังคงรักษาฟอร์มการจบสกอร์ไว้อย่างยอดเยี่ยม
อย่างไรก็ดี บาเยิร์นจะไม่มี โธมัส มุลเลอร์ ที่เจ็บจากนัดล่าสุด โดยคาดว่าการจัดทีมยังคงเต็มสูบเพื่อการันตีแชมป์กลุ่ม ซึ่งหากจบอันดับ 1 พวกเขาจะได้สิทธิ์เจอกับทีมอันดับ 2 จากกลุ่ม B, D, F หรือ H ในรอบ 16 ทีม ถือว่าเป็นแรงจูงใจสำคัญ
ในกลุ่ม D สถานการณ์ก่อนเกมระหว่าง เอสเปอรานซ์ ตูนิส กับ เชลซี เข้มข้นสุดขีด ทั้งสองทีมมีคะแนนเท่ากันที่ 3 แต้ม แต่เป็น “สิงห์บลูส์” ที่ได้เปรียบจากผลต่างประตูได้เสีย ดังนั้นเกมนี้ทีมจากอังกฤษต้องการเพียงผลเสมอเพื่อเข้ารอบ ในขณะที่ยอดทีมจากตูนิเซียต้องชนะสถานเดียวเท่านั้น
เอสเปอรานซ์ เปิดตัวด้วยความพ่ายแพ้ต่อฟลาเมงโก 0-2 ก่อนจะคัมแบ็กได้ทันเวลาในเกมกับแอลเอ เอฟซี โดยเอาชนะ 1-0 จากประตูชัยของ ยูเซฟ เบไลลี แข้งวัย 33 ปีที่เคยมีประสบการณ์ในยุโรปและยังคงเป็นความหวังหลักในแนวรุก ร่วมกับ เอลิอัส โมควานา และ โรดริโก โรดริเกซ
ผลงานโดยรวมของเอสเปอรานซ์ในช่วงหลังถือว่าแข็งแกร่ง แพ้เพียงครั้งเดียวจาก 10 นัดหลังสุด นับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน โดยมาจากการเจอทีมเต็งอย่างฟลาเมงโก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาพร้อมสู้ในเกมที่ต้องวัดใจ
ทางฝั่งเชลซี แม้จะเปิดหัวทัวร์นาเมนต์ด้วยชัยชนะเหนือแอลเอ เอฟซี 2-0 แต่เกมที่สองกับฟลาเมงโกกลับพลาดท่าหลังจากขึ้นนำไปก่อนและโดนรัวแซง 3-1 โดยเกมนั้นมีจุดเปลี่ยนสำคัญคือนาทีที่ นิโกลัส แจ็คสัน โดนใบแดงจากพฤติกรรมไม่เหมาะสม ส่งผลให้เขาจะหมดสิทธิ์ลงช่วยทีมในเกมสำคัญนี้
เอ็นโซ่ มาเรสก้า เฮดโค้ชของเชลซีจะต้องวางแผนให้รัดกุม โดยอาจเลือกใช้ เลียม ดีแล็ป ดาวรุ่งที่เพิ่งย้ายมาเป็นหัวหอกตัวเป้า ขณะที่ โนนี มาดูเอเก้ มีลุ้นสอดแทรกขึ้นมาเป็นตัวจริง
เชลซีเคยคว้าแชมป์รายการนี้มาแล้วในปี 2021 และครั้งนี้ถือเป็นการกลับมาลุยเวทีโลกเป็นครั้งที่ 3 แต่หากพลาดท่าตกรอบตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม คงเป็นความกดดันที่หนักหน่วงสำหรับกุนซืออิตาเลียน
ฟลาเมงโก การันตีเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม D แล้ว ทำให้เกมนี้เตรียมโรเตชันผู้เล่นหลายตำแหน่ง เช่นให้ เปโดร, อเล็กซ์ ซานโดร และเอฟเวอร์ตัน ลงเป็นตัวจริง
ขณะที่ แอลเอ เอฟซี ตกรอบไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมุ่งหวังจะมีแต้มปลอบใจในนัดส่งท้าย โดยมี โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ และ เดนิส บูอองกา นำทัพ
โบคา จูเนียร์ส ยังมีโอกาสลุ้นเข้ารอบอยู่เล็กๆ หากเบนฟิก้าแพ้บาเยิร์น และพวกเขาชนะด้วยสกอร์ขาดถึง 7 ลูก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นไปได้ยาก
เกมนี้ทีมจากอาร์เจนตินาน่าจะส่ง มิเกล เมเรนเทียล ตัวหลักที่ยิงต่อเนื่องลงสนามต่อไป ขณะที่ โอ๊คแลนด์ พยายามลุ้นประตูแรกในรายการนี้ หลังเสียรวมกันถึง 16 ลูกจาก 2 นัดแรก
-----
ถ่ายทอดสดทาง DAZN, MONO29 และ MONOMAX