ลิเวอร์พูลสร้างความฮือฮาในตลาดซื้อขายนักเตะอีกครั้ง หลังสามารถบรรลุข้อตกลงคว้าตัว โฟลเรียน เวียร์ตซ์ เพลย์เมกเกอร์ดาวรุ่งทีมชาติเยอรมนีจากไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ด้วยค่าตัวระดับ 126-150 ล้านปอนด์ ซึ่งกำลังจะเป็นสถิติใหม่ของสโมสรและพรีเมียร์ลีก หากดีลนี้เสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการ
นี่คือดีลที่จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมเกมรุกของทีมอย่างมีนัยสำคัญ และเบื้องหลังความจำเป็นที่สโมสรต้องยอมจ่ายเงินก้อนมโหฬารในครั้งนี้
ฤดูกาลที่ผ่านมา เวียร์ตซ์โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมกับเลเวอร์คูเซ่น โดยทำไปถึง 10 ประตู 13 แอสซิสต์ในลีก อีกทั้งยังมีผลงานเด่นในเวทียุโรปกับการยิง 5 ประตูจาก 5 นัดแรกในชีวิตบนเวทีแชมเปี้ยนส์ลีก แสดงให้เห็นถึงความสามารถทั้งในเรื่องการจบสกอร์และการสร้างสรรค์เกมรุกที่หงส์แดงยังขาดอยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ เวียร์ตซ์ยังมีความหลากหลายในเชิงแท็กติกอย่างสูง โดยแม้ตำแหน่งถนัดจะเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกหมายเลข 10 แต่ก็สามารถขยับไปยืนเป็นริมเส้น, กองหน้าตัวเป้าแบบฟอลส์ไนน์ หรือถอยต่ำลงมาสร้างเกมจากแดนกลางตามแผนของ อาร์เน่อ ชล็อต ได้อย่างกลมกลืน
และที่สำคัญที่สุดคือ การมาของเวียร์ตซ์จะช่วยลดภาระของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้อย่างชัดเจน เพราะเจ้าตัวจะเข้ามารับหน้าที่สร้างโอกาส ปล่อยให้ซาลาห์โฟกัสไปกับการจบสกอร์มากขึ้น เมื่อซูเปอร์สตาร์ชาวอียิปต์กำลังก้าวสู่ช่วงปลายของอาชีพ
ในแง่ของการครองเกม การเข้ามาของเวียร์ตซ์จะช่วยเติมเต็มมิติของเกมรุกที่ขาดหายไปในมิดฟิลด์ปัจจุบันของลิเวอร์พูล แม้จะมี อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, โดมินิค โซโบซไล และ ไรอัน กราเฟนแบร์ค เป็นแกนหลัก แต่ยังไม่มีใครที่สามารถปั้นเกมในแดนสุดท้ายได้อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนเวียร์ตซ์ อีกทั้งยังช่วยยกระดับความไหลลื่นในเกมรุกของทีม เพราะเวียร์ตซ์มีความสามารถในการลากเลื้อยพาบอลผ่านแนวรับ, จ่ายคิลเลอร์พาส รวมถึงหาพื้นที่อันตรายได้ดีอย่างต่อเนื่อง
และที่สำคัญกว่านั้นคือ การมีเวียร์ตซ์จะช่วยให้ลิเวอร์พูลเพิ่มความแข็งแกร่งบนเวทียุโรปด้วย เพราะเจ้าตัวผ่านประสบการณ์แชมเปี้ยนส์ลีกมาแล้วแม้จะอายุเพียง 22 ปี และแสดงให้เห็นถึงความนิ่งและไม่กลัวเวทีใหญ่
ในยุคที่ตลาดนักเตะเฟ้อสูงเป็นประวัติการณ์ ค่าตัวระดับนี้จึงไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย เมื่อเทียบกับดีลของ เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ (106 ล้านปอนด์) และ มอยเซส ไกเซโด้ (115 ล้านปอนด์) ดังนั้นการทุ่มเงินมหาศาลเพื่อลงทุนกับนักเตะวัยเพียง 22 ปี ที่พิสูจน์ฝีเท้าแล้วทั้งในลีกเยอรมันและเวทีทีมชาติ ถือเป็นการซื้ออนาคตในระยะยาวที่คุ้มค่าทั้งในแง่ผลงานในสนามและผลเชิงการตลาด
นอกจากนี้ ช่วงเวลานี้ถือเป็นจังหวะที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะหากปล่อยเวลาไปนานกว่านี้ ทั้งบาเยิร์น มิวนิค และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อาจเข้ามาแย่งตัวได้ ลิเวอร์พูลจึงต้องรีบตัดสินใจเพื่อรักษาความได้เปรียบในระยะยาว เพราะหากปล่อยเวลาไปถึงซัมเมอร์หน้า เจ้าตัวจะมีค่าตัวถูกลงอีกมากเนื่องจากใกล้หมดสัญญาฉบับปัจจุบัน ซึ่งนั่นหมายความว่าจะมีคู่แข่งยื่นข้อเสนอแย่งตัวอีกหลายทีมแน่นอน
การมาของเวียร์ตซ์จะช่วยให้ลิเวอร์พูลเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างทีมได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องปฏิวัติทีมครั้งใหญ่ เขาจะเข้ามาเติมเต็มคุณภาพในทีมชุดเดิมที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เพิ่มขีดความสามารถในการต่อกรกับทีมระดับท็อปทั้งในพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนส์ลีก และยังช่วยให้แผนการสร้างทีมของอาร์เน่อ ชล็อต มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้นทั้งในเชิงเกมรุกและสมดุลทีมโดยรวม
...
ดีลของ โฟลเรียน เวียร์ตซ์ ไม่ใช่แค่การซื้อขายนักเตะดาวรุ่ง แต่คือการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ที่คำนวณมาแล้วอย่างแม่นยำ ลิเวอร์พูลไม่ได้เพียงซื้อผู้เล่นคนหนึ่ง แต่พวกเขากำลังซื้อยุคใหม่ของเกมรุกเข้าสู่แอนฟิลด์ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของทีม
ดังนั้นการทุ่มเงินก้อนนี้ในวันนี้ จึงอาจกลายเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในอีกหลายปีข้างหน้า ทั้งในพรีเมียร์ลีกและบนเวทียุโรปก็เป็นได้