svasdssvasds
เนชั่นทีวี

กีฬา

สเปอร์สของ "แอนจ์" เปลี่ยนตัวตนเพื่อแชมป์นี้ที่รอคอย

ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ คว้าแชมป์แรกในรอบ 17 ปี ด้วยแผนสุดจริงจังของ "แอนจ์" หรือ อังเก้ ปอสเตโคกลู ที่ยอมทิ้งสไตล์ถนัดก่อนพาทีมปลดล็อกถ้วยรางวัลได้สำเร็จ

ค่ำคืนที่เมืองบิลเบาไม่ได้เป็นเพียงแค่ฉากจบของทัวร์นาเมนต์ยูโรปาลีก แต่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของ "ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์" ทีมที่เคยถูกมองว่า "ทีมที่ดีแต่ไม่เคยไปถึงแชมป์" ได้ลบล้างคำสบประมาทที่เกาะแน่นมานาน ด้วยการคว้าแชมป์ยุโรปใบแรกในรอบ 40 ปี และถ้วยรางวัลใบแรกของสโมสรในรอบ 17 ปี

พวกเขาทำสำเร็จด้วยชัยชนะ 1-0 เหนือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมรอบชิงชนะเลิศที่ทั้งสับสน ตึงเครียด และเต็มไปด้วยความไม่เป็นระเบียบ จังหวะประตูเดียวของเกมมาจาก เบรนแนน จอห์นสัน นักเตะที่เคยถูกวิจารณ์อย่างหนักในช่วงต้นฤดูกาล กลับกลายเป็นฮีโร่ในค่ำคืนประวัติศาสตร์

สเปอร์สของ \"แอนจ์\" เปลี่ยนตัวตนเพื่อแชมป์นี้ที่รอคอย

จาก "แอนจ์บอล" สู่แท็กติกแบบ "มูรินโญ่"

ชัยชนะครั้งนี้ไม่ได้มาเพราะแผนเดิมที่ อังเก้ ปอสเตโคกลู ยึดถือมาตลอด เขายอมละทิ้งสไตล์บุกดุดัน หรือที่แฟน ๆ เรียกกันว่า "แอนจ์บอล" กลายมาเป็นฟุตบอลแบบสุดจริงจังที่คล้ายกับแผนการของโชเซ่ มูรินโญ ซึ่งเน้นความแน่นหนาในเกมรับและการควบคุมจังหวะมากกว่าการครองบอล

“เกมแบบนี้ต้องมีแผนชัดเจน” ปอสเตโคกลู กล่าวหลังเกม “เราต้องจำกัดโอกาสของคู่แข่ง และเล่นอย่างมีวินัยที่สุดเท่าที่จะทำได้”

เขาพิสูจน์คำพูดของตัวเองที่เคยกล่าวไว้ตั้งแต่เดือนกันยายนหลังแพ้อาร์เซนอล ว่า “ผมมักคว้าแชมป์ในปีที่สองเสมอ” แม้ระหว่างทางจะต้องแลกมาด้วยความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่แค่แท็กติก แต่รวมถึงการเปลี่ยนแนวคิดทั้งทีม

ในนัดชิง สเปอร์สครองบอลเพียง 27% ตลอดเกม มีโอกาสยิงแค่ 3 ครั้ง แต่พวกเขาเปลี่ยนหนึ่งในนั้นเป็นประตู และยืนหยัดป้องกันตลอด 90 นาที ด้วยแท็คติกที่มีทั้งความอดทน ความทุ่มเท และความเชื่อมั่นในระบบ

เสียงเฮจากแฟนบอลดังกระหึ่มทุกครั้งที่ทีมบล็อกลูกยิง หรือแม้แต่รับบอลกลับมาได้ กูเยร์โม วิคาริโอ เซฟลูกสำคัญจาก อเลฮานโดร การ์นาโช่ และ ลุค ชอว์ ขณะที่คู่เซ็นเตอร์อย่าง คริสเตียน โรเมโร่ กับ มิกกี้ ฟาน เดอ เฟน สกัดลูกสำคัญหลายจังหวะ โดยเฉพาะลูกโหม่งจ่อ ๆ ของ ราสมุส ฮอยลุนด์ ที่ ฟาน เดอ เฟน พุ่งมาขวางอย่างปาฏิหาริย์

สเปอร์สของ \"แอนจ์\" เปลี่ยนตัวตนเพื่อแชมป์นี้ที่รอคอย

ฝั่งรุก สเปอร์สไม่มี เจมส์ แมดดิสัน, เดยัน คูลูเซฟสกี้, หรือ ลูคัส เบิร์กวัลล์ แต่ปอสเตโคกลูแก้ลำด้วยการใช้สามมิดฟิลด์สายพละกำลังอย่าง ป๊าป ซาร์, อีฟส์ บิสซูม่า, และโรดริโก เบนตานกูร์ รวมถึงให้ ริชาร์ลิซอน ลงตัวจริงก่อนกัปตันทีมอย่าง ซน ฮึง-มิน ซึ่งลงมาสมทบช่วงท้ายเพื่อปิดเกมฝั่งซ้าย

ขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ด แม้มีทั้งบรูโน่ แฟร์นันด์ส และอาหมัด ดิยัลโล่ ก็ถูกปิดตาย ด้วยการเพรสซิ่งที่เฉียบขาดและไลน์รับที่แน่นหนา

จังหวะตัดสินเกมก็สะท้อนภาพรวมทั้งหมดนั่นคือความวุ่นวายที่ถูกเปลี่ยนเป็นโอกาส ริชาร์ลิซอนเลี้ยงจี้แล้วแทงทะลุให้ เบนตานกูร์ ก่อน ป๊าป ซาร์ จะเปิดเรียดไปโดนแขนลุค ชอว์ แล้วแฉลบเข้าทางจน เบรนแนน จอห์นสัน ซัดผ่านมือ อ็องเดร โอนาน่าเข้าไปอย่างเด็ดขาด

สำหรับเบรนแนน จอห์นสัน นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนของอาชีพ เขาเคยถูกวิจารณ์จนต้องปิดอินสตาแกรมหนีความกดดัน แต่วันนี้ เขาคือผู้ทำประตูชัยในเกมชิงถ้วยยุโรป และกลายเป็นนักเตะที่ “มีความหมาย” ขึ้นมาอีกครั้ง

ด้าน “ปีศาจแดง” แม้จะพยายามบุกอย่างหนัก มีโอกาสยิงถึง 16 ครั้ง แต่กลับมีค่า xG เพียง 0.85 ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพโอกาสที่ต่ำ สเปอร์สตัดเกมรุกของพวกเขาได้หมด ไม่ว่าจะเป็นเมสัน เมาท์, อเลฮานโดร การ์นาโช่ หรือแม้แต่บรูโน่ แฟร์นันด์ส

การตัดสินใจก่อนเกมนี้ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัย ปอสเตโคกลูตัดสินใจพักผู้เล่นหลักในเกมลีกก่อนหน้า เพื่อเก็บความสดไว้สำหรับนัดชิง ขณะที่รูเบน อโมริม จัดตัวหลักลงต่อเนื่อง ความแตกต่างนี้มีผลชัดเจนในช่วงท้ายเกม เมื่อสเปอร์สดูนิ่งกว่า สดกว่า และมีสมาธิมากกว่า

สเปอร์สของ \"แอนจ์\" เปลี่ยนตัวตนเพื่อแชมป์นี้ที่รอคอย

ไม่แคร์แม้อนาคตยังมีคำถาม

สเปอร์สอาจไม่แคร์ว่าเกมนี้จะสวยงามหรือไม่ พวกเขาไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรทั้งสิ้นในค่ำคืนนี้ เพราะ “รอบชิงไม่ใช่เวทีสำหรับโชว์ แต่มันคือสนามแห่งชัยชนะ”

คำถามคือ ต่อจากนี้ สเปอร์สจะเดินหน้าด้วยสไตล์เดียวกับนัดนี้ที่เปลี่ยนแนวทางเพื่อผลลัพธ์ หรือจะกลับสู่รากเหง้าตัวตนของพวกเขา นั่นคือ “เกมรุกจัดหนัก” แบบที่ แอนจ์ เคยเชื่อมั่น?

...

อย่างน้อยตอนนี้ คำตอบมีเพียงข้อเดียว 

สเปอร์สคือแชมป์ยูโรปาลีก 2024/25

สเปอร์สของ \"แอนจ์\" เปลี่ยนตัวตนเพื่อแชมป์นี้ที่รอคอย