คริสตัล พาเลซ สร้างเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เอฟเอคัพ ด้วยการโค่นแชมป์เก่าอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ที่สนามเวมบลีย์ พร้อมกับคว้าแชมป์เอฟเอคัพเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
ประตูชัยของ เอเบเรชี่ เอเซ่ ในครึ่งแรกเพียงพอที่จะทำให้พาเลซเฉือนชนะในนัดชิงฯ และยังเป็นการปิดฉากฤดูกาลอันน่าผิดหวังของแมนฯ ซิตี้ ซึ่งจบซีซั่นแบบมือเปล่าเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี
“วันนี้เป็นวันของคริสตัล พาเลซ เป็นวันที่แฟนบอลของเรารอคอย และมันต้องเกิดขึ้น” โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ กุนซือพาเลซกล่าวหลังจบเกม “ผมรู้สึกตั้งแต่ช่วงกลางฤดูกาลว่าเรามีโอกาสสร้างสิ่งมหัศจรรย์”
ชัยชนะครั้งนี้ถูกเปรียบเทียบกับเหตุการณ์สุดพลิกล็อกในอดีต เช่น วีแกนชนะซิตี้ในปี 2013 หรือวิมเบิลดันล้มลิเวอร์พูลในปี 1988
แมนฯ ซิตี้ มีโอกาสทองจะตีเสมอจากลูกจุดโทษในครึ่งแรก แต่ โอมาร์ มาร์มูช ยิงไปติดเซฟของ ดีน เฮนเดอร์สัน นายด่านพาเลซ
แม้ซิตี้จะครองบอลถึง 77% และยิงรวมถึง 23 ครั้ง แต่พาเลซก็ยันอยู่ และอาศัยจังหวะสวนกลับเล่นงาน
หลังจบเกม นักเตะพาเลซรับถ้วยแชมป์จาก เจ้าชายวิลเลียม ท่ามกลางเสียงเฮของแฟนบอลที่เวมบลีย์
พาเลซเคยเข้าชิงฯ มาแล้ว 2 ครั้งในปี 1990 และ 2016 แต่พ่ายแมนฯ ยูไนเต็ดทั้งสองครั้ง ก่อนจะมาประสบความสำเร็จในครั้งที่สามนี้
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้แมนฯ ซิตี้แพ้นัดชิงเอฟเอคัพ 2 ปีติดต่อกัน หลังจากปีที่แล้วก็พ่ายให้กับแมนฯ ยูไนเต็ด
แม้จะดูเป็น “พลิกล็อก” แต่จริงๆ แล้วนี่คืออีกหนึ่งบทสรุปของฤดูกาลอันน่าผิดหวังของทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่พลาดทั้งแชมป์พรีเมียร์ลีก และตกรอบแชมเปียนส์ลีก
ซิตี้ยังมีความเสี่ยงจะหลุดจากท็อป 5 ของพรีเมียร์ลีก และอาจไม่ได้ไปเล่นแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลหน้า โดยมีเพียง “ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ” ในเดือนหน้าเท่านั้นที่เหลือให้ลุ้นถ้วยรางวัล
“พวกเราทำเต็มที่แล้ว ไม่มีอะไรต้องเสียใจ” เป๊ปกล่าว “แน่นอนว่าเราผิดหวังที่ไม่ได้แชมป์ แต่เราทำผลงานดีกว่าเมื่อปีที่แล้วที่แพ้ยูไนเต็ด”
แม้ เออร์ลิง ฮาลันด์ ดาวซัลโวของทีมจะอยู่ในสนาม แต่จุดโทษในครึ่งแรกกลับเป็น โอมาร์ มาร์มูช ที่รับหน้าที่ยิง และถูกเซฟไว้ได้
เป๊ปเผยว่า “ผมไม่ได้บอกว่าใครจะยิง พวกเขาตัดสินใจกันเอง ผมชอบคนที่กล้ารับผิดชอบ จุดโทษมันเป็นเรื่องของความกล้า”
ช่วงหนึ่งในเกม ดีน เฮนเดอร์สัน ดูเหมือนจะใช้มือเล่นนอกกรอบเขตโทษเพื่อตัดบอลจากฮาลันด์ แต่ VAR พิจารณาแล้วไม่ให้เป็นใบแดง
เป๊ปดูไม่พอใจหลังเกม ถึงขั้นเดินไปโวยกับผู้รักษาประตูพาเลซ โดยเฉพาะประเด็น “การถ่วงเวลา”
“ผมเข้าใจว่าช่วงท้ายเกมอาจจะมีการดึงเวลา แต่พอเกมเริ่ม เขาเริ่มถ่วงทันทีเลย … ฟุตบอลอังกฤษควรเล่นกันแบบเปิดเกม” เป๊ปกล่าว
กลาสเนอร์ เข้ามาคุมพาเลซกลางฤดูกาล และเริ่มพาทีมทำผลงานโดดเด่นทันที ไม่ว่าจะเป็นการบุกชนะลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์, ชนะยูไนเต็ดทั้งไป-กลับ, ยิงประตูมากสุดในประวัติศาสตร์สโมสรในเกมพรีเมียร์ลีก และจบฤดูกาลในท็อป 10
นอกจากจะพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอคัพ เขายังพาพาเลซคว้าตั๋วไปเล่นยูโรป้าลีกในฤดูกาลหน้าได้อีกด้วย
“เราต้องการสร้างประวัติศาสตร์ และวันนี้เราทำได้จริง ๆ” กลาสเนอร์กล่าว