svasdssvasds
เนชั่นทีวี

กีฬา

"โม ซาลาห์" ดาวยิงผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา สู่การสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่

15 มีนาคม 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ย้อนเส้นทางค้าแข้งของ "โมฮาเหม็ด ซาลาห์" ดาวยิงระดับตำนานของลิเวอร์พูลและทีมชาติอียิปต์ ที่ล่าสุดเพิ่งสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเตะคนแรกของสโมสรในรอบ 131 ปีที่ยิงทะลุหลัก 20 ลูกได้ถึง 7 ฤดูกาลติดต่อกัน

ค่ำคืนวันที่ 7 พ.ค. 2019 "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เตรียมเปิด แอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ บาร์เซโลน่า ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 โดยเกมดังกล่าว ลิเวอร์พูล ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบทุกด้าน หลังพ่ายมาที่ คัมป์ นู ถึง 0-3 แถมยังต้องขาดนักเตะตัวหลักที่บาดเจ็บไปค่อนทีม จนแทบไม่มีใครเชื่อว่าพลพรรคหงส์แดงจะพลิกสถานการณ์ได้

แต่ยังมีคนหนึ่งที่ไม่ได้เชื่อเช่นนั้น

ก่อนเกมจะเริ่มขึ้น "โมฮาเหม็ด ซาลาห์" ดาวยิงตัวเก่งที่พลาดลงสนามเนื่องจากมีปัญหาบาดเจ็บ ปรากฏตัวด้วยแจ็คเก็ตและเสื้อยืดสีดำที่มีข้อความว่า "NEVER GIVE UP" หรือ "อย่ายอมแพ้"

และสุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็พลิกสถานการณ์ด้วยการเอาชนะ บาร์เซโลน่า ไป 4-0 ผ่านเข้าชิงได้สำเร็จ โดยเกมนี้ก็ได้ถูกยกย่องว่านี่คือหนึ่งในเกมพลิกนรกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของถ้วยใบนี้

และแม้ข้อความ "NEVER GIVE UP" ของ ซาลาห์ จะเป็นเรื่องของการส่งกำลังใจให้เพื่อนๆและแฟนบอลให้สู้ให้เต็มที่ในสนาม แต่หากย้อนดูเส้นทางค้าแข้งของเจ้าตัว ข้อความดังกล่าวก็น่าจะเป็นคำจำกัดความที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขาแล้ว ที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมาไม่น้อยกว่าจะมีวันนี้

\"โม ซาลาห์\" ดาวยิงผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา สู่การสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่

จุดเริ่มต้นที่แสนทรหด
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (มุฮัมหมัด ซอลาห์ ฆอลีย์ หากออกเสียงตามภาษาอาหรับ) เกิดในครอบครัวที่ยากจนในเมือง นากริก ราว 100 ไมล์ทางตอนเหนือของกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เริ่มต้นเล่นฟุตบอลกับเพื่อนตั้งแต่วัยเยาว์เพราะเป็นความสนุกไม่กี่อย่างที่เด็กยากจนแถวนั้นจะมีได้ แต่ด้วยฝีเท้าที่โดดเด่นเกินวัย ทำให้ได้รับโอกาสเข้าไปฝึกฟุตบอลในทีมท้องถิ่น ก่อนก้าวสู่ทีมเยาวชนของ อัล มุกอวิลูน ทีมดังในบ้าด

การได้โอกาสไปเล่นในทีมที่ใหญ่ขึ้นเป็นเรื่องที่ดีก็จริง แต่มันต้องแลกมาด้วยความยากลำบาก เพราะสโมสรอยู่ห่างจากบ้านของเขามาก ซาลาห์ต้องใช้เวลาถึงวันละเกือบ 9 ชั่วโมงกับการเดินทางไปกลับสัปดาห์ละ 5 วัน

       “ผมพลาดการไปโรงเรียนบ่อยๆ เพราะว่ามันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ผมไปซ้อมได้ทันเวลา บางครั้งผมไปโรงเรียนแค่ 2 ชั่วโมงแรก แล้วก็ต้องรีบขึ้นรถบัสไปซ้อมเลย” ซาลาห์ กล่าวถึงชีวิตวัยเด็ก

โม ซาลาห์ พัฒนาฝีเท้าขึ้นอย่างรวดเร็ว จนได้ลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 16 ปี และเมื่ออายุ 18 ปี ก็ก้าวขึ้นไปติดทีมชาติอียิปต์แล้ว

เดือน ก.พ. 2012 เกิดเหตุโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอลของอียิปต์ เมื่อแฟนฟุตบอลก่อจลาจลและปะทะกันหลังการแข่งขันระหว่างทีมอัล-มาสรี กับ อัล-อาห์ลี จนมีผู้เสียชีวิต 74 คน บาดเจ็บอีกนับพัน เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ลีกฟุตบอลทั้งประเทศถูกสั่งหยุดการแข่งขันทันที

ทีมชาติอียิปต์ชุด U23 ได้รับผลกระทบไปเต็มๆเนื่องจากกำลังเตรียมทีมไปแข่งโอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่กรุงลอนดอน จึงแก้ปัญหาด้วยการลงเตะอุ่นเครื่องกับสโมสรต่างๆในยุโรป และมีเกมหนึ่งที่ได้อุ่นเครื่องกับ เอฟซี บาเซิ่ล ของสวิตเซอร์แลนด์ โม ซาลาห์ ที่ลงมาเป็นตัวสำรอง โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นด้วยการยิง 2 ประตูช่วยให้อียิปต์ U23 ชนะบาเซิ่ลได้สำเร็จ

ฟอร์มของ ซาลาห์ ในเกมนั้น ไปเข้าตาแมวมองและกุนซือบาเซิ่ลเต็มๆ และอีกแค่ 1 เดือนต่อมา บาเซิ่ล ก็เซ็นสัญญาดึงตัวดาวรุ่งรายนี้ไปร่วมทีมทันที

โม ซาลาห์ ในสีเสื้อของ บาเซิ่ล (ภาพ Bleacher report)

เดินทางค้าแข้งต่างแดน
การโยกย้ายจากอียิปต์บ้านเกิดสู่การค้าแข้งในสวิตเซอร์แลนด์ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กที่อายุยังไม่ถึง 20 ปี ซาลาห์เริ่มรู้สึกอยากกลับบ้านตั้งแต่ย้ายมาแค่ไม่กี่เดือนเนื่องจากพูดภาษาสวิส-เยอรมันไม่ได้เลย แต่เมื่อ บาเซิ่ล ไปคว้าตัวเพื่อนร่วมชาติอย่าง โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ เข้ามาในเดือน ม.ค. 2013 สถานการณ์ของ ซาลาห์ ก็เริ่มดีขึ้น ก่อนระเบิดฟอร์มยิง 20 ประตู 17 แอสซิสต์จากการลงสนาม 79 นัดให้ต้นสังกัด

ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมทำให้เหล่าทีมยักษ์ใหญ่เริ่มให้ความสนใจ มีข่าวว่า ลิเวอร์พูล อยากได้ ซาลาห์ ตั้งแต่ตอนนั้น แต่เป็น เชลซี ที่ทุ่มเงินถึง 11 ล้านปอนด์ตัดหน้าคว้าตัวไปได้

อย่างไรก็ตามด้วยการที่ไปอยู่กับทีมใหญ่ที่มีแต่ซูเปอร์สตาร์อย่าง เชลซี ทำให้ ซาลาห์ ไม่มีโอกาสลงสนามมากนัก โดยลงเล่นไปเพียง 19 นัดในช่วงเวลา 2 ซีซั่น เกือบทั้งหมดมีบทบาทเป็นแค่ตัวสำรอง สุดท้าย เชลซี จึงปล่อยตัวให้ ฟิออเรนติน่า และโรม่า ยืมไปใช้งาน และซีซั่นที่เล่นให้ โรม่า เจ้าตัวโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง ยิงได้ถึง 15 ประตูจาก 42 นัด ทีมหมาป่าแห่งกรุงโรมจึงตัดสินใจซื้อตัวมาเป็นการถาวรในที่สุด

ซาลาห์ ยิ่งเล่นยิ่งดี ในฤดูกาลถัดมายิงได้อีก 19 ลูก พร้อมพาทีมคว้าอันดับ 3 ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา จนไปเข้าตา ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ ผอ.กีฬาของลิเวอร์พูล ก่อนจะไปโน้มน้าว เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้เห็นด้วยกับการดึงตัวแนวรุกทีมชาติอียิปต์รายนี้มาร่วมทีม สุดท้ายก็ได้ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 36.5 ล้านปอนด์ (ก่อนจะเพิ่มเป็น 43 ล้านปอนด์ตามเงื่อนไขในสัญญา)

ซาลาห์ ถ่ายรูปกับเพื่อนร่วมทีมในวันฉลองยิงทะลุหลัก 200 ประตูให้ลิเวอร์พูล สู่ราชันแห่งถิ่นแอนฟิลด์
โม ซาลาห์ ระเบิดฟอร์มได้อย่างร้อนแรงตั้งแต่ซีซั่นแรก ด้วยการยิงไปถึง 44 ประตู กลายเป็นดาวยิงที่แฟนบอลฝากความหวังไว้ได้เสมอนับแต่นั้นเป็นต้นมา และ ซาลาห์ ก็ก้าวสู่จุดสูงสุด เมื่อพาทีม "หงส์แดง" คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในซีซั่น 2018/19 ต่อด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2019/20 นับเป็นแชมป์ลีกสมัยแรกของสโมสรในรอบ 30 ปี

ตลอด 7 ฤดูกาลในรั้วแอนฟิลด์ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ถล่มประตูได้อย่างต่อเนื่องทุกปี โดยนับถึงปัจจุบัน เขายิงไปแล้วถึง 206 ประตูจากการลงสนาม 366 เกมในทุกรายการ รั้งอันดับ 5 ในตำแหน่งดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของสโมสร

และล่าสุด ซาลาห์ เพิ่งจะยิงได้อีก 1 ประตู ในเกมที่ "หงส์แดง" เปิดบ้านถล่ม สปาร์ต้า ปราก 6-1 ในศึก ยูโรปาลีก ซึ่งประตูดังกล่าวนับเป็นลูกที่ 20 ของเจ้าตัวในซีซั่นนี้ ส่งผลให้ ซาลาห์ กลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ 131 ปีของสโมสรที่สามารถยิงได้มากกว่า 20 ประตูเป็นเวลา 7 ฤดูกาลติดต่อกัน

โดย 7 ปีของ ซาลาห์ ในการค้าแข้งให้ลิเวอร์พูล มีดังนี้

  • 2017/18    ลงเล่น 52 นัด ยิง 44 ประตู
  • 2018/19    ลงเล่น 52 นัด ยิง 27 ประตู
  • 2019/20    ลงเล่น 48 นัด ยิง 23 ประตู
  • 2020/21    ลงเล่น 51 นัด ยิง 31 ประตู
  • 2021/22    ลงเล่น 51 นัด ยิง 31 ประตู
  • 2022/23    ลงเล่น 51 นัด ยิง 30 ประตู
  • 2023/24    ลงเล่น 31 นัด ยิง 20 ประตู (ยังไม่จบฤดูกาล)


แน่นอนว่าจากผลงานดังกล่าว ทำให้มีหลายสโมสรแสดงความต้องการที่จะดึงตัวไปร่วมทีม แต่ ซาลาห์ ก็ยังไม่ยอมย้ายไปไหน เช่นเดียวกับบอร์ดบริหารของ ลิเวอร์พูล ที่จะไม่ยอมขายออกจากทีมแม้จะได้ราคาสูงแค่ไหนก็ตาม

ชีวิตของ ซาลาห์ ในการค้าแข้งที่ ลิเวอร์พูล แม้อาจจะดูเหมือนง่ายและลงตัวไปเสียทุกอย่าง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากย้อนไปดูเส้นทางตลอดอาชีพของเขาแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะมายืนในจุดนี้ได้ หากไม่มี "ความพยายาม" ที่มากพอ
\"โม ซาลาห์\" ดาวยิงผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา สู่การสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่

logoline