"ฟุตบอลไทย" เริ่มต้นปี 2566 ด้วยความชื่นมื่น หลังทัพ "ช้างศึก" ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ภายใต้การคุมทัพของ มาโน่ โพลกิ้ง ผงาดคว้าแชมป์อาเซียนสมัยที่ 7 ด้วยการเอาชนะทัพ "ดาวทอง" ทีมชาติเวียดนาม ไปได้ด้วยประตูรวม 3-2
อย่างไรก็ตามในช่วงกลางปี แฟนบอลชาวไทยกลับต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อ ทีมชาติไทย U23 ของ "โค้ชหระ" อิสสระ ศรีทะโร ไปพ่ายต่อ อินโดนีเซีย แบบยับเยิน 2-5 ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลชาย มหกรรมกีฬา ซีเกมส์ 2023
ที่สำคัญในนัดดังกล่าว ยังเกิดเหตุการณ์อื้อฉาวไปทั่วโลก เมื่อนักเตะและสตาฟฟ์โค้ชของทั้งสองทีมมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง จากนั้นนักเตะไทยก็คุมอารมณ์ไม่อยู่ ค่อยๆโดนใบแดงไปทีละรายๆ รวมถึงมีผู้เล่นบาดเจ็บแต่เปลี่ยนตัวครบโควต้าไปแล้วอีก สุดท้าย "ช้างศึก" จบเกมด้วยการมีผู้เล่นในสนามแค่ 7 คนเท่านั้น กระทั่งพ่ายแพ้ อินโดนีเซีย ไปแบบหมดสภาพ
หลังจากจบการแข่งขันซีเกมส์ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ สั่งสอบสวนเหตุการณ์อื้อฉาวครั้งนี้ทันที ก่อนลงโทษพักงาน 3 สตาฟฟ์โค้ชเป็นเวลา 1 ปี ด้าน โสภณวิชญ์ รักญาติ และ ธีรศักดิ์ เผยพิมาย ถูกแบน 6 เดือน กรณีใช้ความรุนแรงในนัดชิงฯ ซีเกมส์ครั้งนี้
เท่านั้นยังไม่พอ เอเอฟซี ยังมีบทลงโทษตามมาอีก โดยปรับเงิน ส.บอล เกือบ 5 แสนบาท พร้อมลงโทษแบนนักเตะและสต๊าฟฟ์โค้ชของไทยรวม 8 ราย เป็นจำนวนถึง 6 เกม
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้บริหารสมาคมฯถูกกดดันอย่างหนัก โดยเฉพาะ "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถูก "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย จี้ถามหาความรับผิดชอบ จน บิ๊กอ๊อด ต้องประกาศขอลาออก แต่สุดท้ายการอำลาเก้าอี้ก็ต้องถูกระงับไปเนื่องจากสมาชิกของสมาคมฯไม่เห็นด้วย เนื่องจากเกรงจะถูก ฟีฟ่า ลงโทษแบนเพราะถูกการเมืองเข้าแทรกแซง
อีกประเด็นที่ทำให้แฟนบอลเริ่มไม่เชื่อมั่นการทำงานของผู้บริหารสมาคมกีฬาฟุตบอลฯชุดนี้ก็คือ ปัญหา "ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด" โดยช่วงปลายเดือน มิ.ย. สมาคมกีฬาฟุตบอลฯและไทยลีก ได้เปิดเผยเรื่องช็อก เมื่อมูลค่าลิขสิทธิ์ไทยลีกที่ช่วงเวลาหนึ่งเคยขึ้นไปสูงถึงปีละ 1,000 ล้านบาท แต่ตอนนี้หล่นมาเหลือเพียง 50 ล้านบาทต่อ 1 ฤดูกาลเท่านั้น จึงทำให้เกิดการเสนอแนวความคิดที่ 16 ทีมในไทยลีกจะออกมาตั้งบริษัทใหม่เพื่อดูแลสิทธิประโยชน์ด้วยตัวเอง คล้ายกับที่พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เคยทำ ซึ่งเวลานี้กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาหาความเป็นไปได้
ขณะเดียวกันยังมีการตั้งแคมเปญ #savethaileague เชิญชวนแฟนบอลสนับสนุนสโมสรที่เชียร์พร้อมกับช่วยทีมที่รักไปในตัวด้วยการดูฟุตบอลแบบถูกลิขสิทธิ์ เพื่อสร้างรายได้ในการสนับสนุนสโมสร
เข้าสู่โปรแกรมฟีฟ่าเดย์เดือนตุลาคม ทีมชาติไทย มีคิวบุกทัวร์ยุโรปเพื่ออุ่นแข้งกับ จอร์เจีย และ เอสโตเนีย โดยคอนเฟิร์มคิวแข่งตั้งแต่เดือน ก.พ. แต่ด้วยปัญหาคิวแข่งที่ทับซ้อนและไม่มีการวางแผนแก้ไขล่วงหน้า ทำให้ทีมชาติไทยชุดนี้เต็มไปด้วยเหล่านักเตะดาวรุ่ง เนื่องจากหลายคน ติดภารกิจ รับใช้สโมสร
และจากการที่ทีมชาติไทยขนผู้เล่นชุดสองไปแข่งกับทีมอย่าง จอร์เจีย ที่มีสตาร์ดังระดับแนวหน้าของยุโรปหลายราย สุดท้าย "ช้างศึก" จึงพ่ายแพ้แบบย่อยยับเป็นสถิติถึง 0-8
จากผลงานดังกล่าวทำให้แฟนบอลรุมตำหนิสมาคมฯอย่างหนัก เพราะตามกฏของ ฟีฟ่า ทีมชาติมีอำนาจเรียกตัวนักเตะมาติดทีมได้ทุกรายโดยที่สโมสรต้นสังกัดไม่มีสิทธิปฏิเสธ แต่ก็ยังเกิดขึ้นกับทีมชาติไทย จนกลายเป็นภาพสะท้อนว่า สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ อยู่ใต้อำนาจของ "บางสโมสร" ขณะที่ตัวนายกสมาคมฯอย่าง "บิ๊กอ๊อด" ก็โดนวิจารณ์ว่า "ปล่อยจอย" หรือไม่ยอมรับผิดชอบใดๆแล้ว ทำงานเพื่อรอเวลาหมดวาระเท่านั้น
แม้จะไม่พอใจสมาคมฯมากแค่ไหน แต่ "ทีมชาติไทย" คือสิ่งที่แฟนบอลรอเชียร์อยู่เสมอ และการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชียก็มาถึง ภายใต้ความหวังว่า "ช้างศึก" จะผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้ แต่ความหวังก็เริ่มจะเลือนลางตั้งแต่นัดแรก เมื่อ ทีมชาติไทย พ่าย ทีมชาติจีน คาถิ่นราชมังคลากีฬาสถาน ไปด้วยสกอร์ 1-2
ซึ่งแม้นัดต่อมา จะเอาชนะ สิงคโปร์ ได้สำเร็จ แต่โอกาสที่ทีมชาติไทยจะผ่านเข้ารอบก็ต้องถือว่าสาหัสอย่างยิ่ง เพราะต้องบุกไปคว้าชัยชนะเหนือ จีน ให้ได้ รวมไปถึงต้องภาวนาให้ จีน ทำแต้มหลุดมือไปบ้างในการพบกับ สิงคโปร์ อีกด้วย
และจากความหวังที่เริ่มหลุดลอย ส่งผลให้ตำแหน่งกุนซือทีมชาติไทยต้องมีการเปลี่ยนแปลง โดย "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ ประกาศแยกทางกับกุนซือ มาโน่ โพลกิ้ง พร้อมแต่งตั้ง มาซาทาดะ อิชิอิ มาเป็นกุนซือทีมชาติไทยคนใหม่ทันที
สำหรับในปีหน้า (2567) นอกจากจะต้องรอเชียร์ทีมชาติไทยในการแข่งขันรายการสำคัญอย่าง เอเชียนคัพ ที่กาตาร์ รวมถึงฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกแล้ว สิ่งที่ต้องจับตาก็คือการชิงเก้าอี้นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ซึ่งมีกำหนดเลือกตั้งกันในวันที่ 8 ก.พ. 67
แน่นอนแล้วว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จะไม่ลงสมัครชิงเก้าอี้สมัย 3 ทำให้ต้องจับตามองว่าใครจะเข้ามาเป็นประมุขลูกหนังไทยคนใหม่ โดยตัวเต็งคงหนีไม่พ้น "มาดามแป้ง" ที่รวบรวมเหล่าบิ๊กเนมในวงการลูกหนังไทยมาอยู่ในทีมงาน
ส่วนคนที่เหลือที่สมัครชิงเก้าอี้ก็ยังมี
ส่วนใครจะได้เป็นผู้นำคนใหม่ และจะนำฟุตบอลไทยฝ่าวิกฤตศรัทธาที่เผชิญมาตลอดปี 2566 นี้ได้อย่างไร อีกไม่นาน เราจะได้รู้กัน