สรุป 3 ปัญหา พา "แมนยู" ออกสตาร์ทซีซั่นแย่สุดรอบ 37 ปี

ความพ่ายแพ้ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีต่อ บาเยิร์น มิวนิค 3-4 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (20 ก.ย.) ถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งที่ 4 จาก 6 เกมล่าสุด (รวมทุกรายการ) ซึ่งเป็นผลงานที่แย่ที่สุดในรอบ 37 ปี หรือนับตั้งแต่ฤดูกาล 1986/87 ทีเดียว

ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจไม่น้อย เพราะในฤดูกาลที่ผ่านมา "ปีศาจแดง" ของกุนซือ เอริก เทน ฮาก ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการคว้าแชมป์คาราบาว คัพ ซึ่งเป็นถ้วยรางวัลแรกในรอบ 6 ปี รวมถึงการจบอันดับ 3 ในพรีเมียร์ลีก และได้รองแชมป์เอฟเอ คัพ หลังพ่ายต่อทีม "ทริปเปิ้ลแชมป์" อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในนัดชิงชนะเลิศ ทำให้แฟนบอลต่างเชื่อมั่นว่า ในฤดูกาลนี้ แมนฯยูไนเต็ด จะต่อยอดผลงานดังกล่าวสู่การเป็นทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้แบบเต็มตัว

ฤดูกาล 2023/24 ซึ่งเป็นซีซั่นที่ 2 ของ เทน ฮาก "ปีศาจแดง" เริ่มต้นด้วยการชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 1-0 ในเกมแรก แต่หลังจากนั้นเค้าลางของปัญหาในทีมก็เริ่มมาถึง เมื่อพ่ายต่อ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 0-2 ซึ่งแม้เกมถัดมาจะเอาชนะ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 3-2 แต่ก็มาแพ้อีก 3 นัดติดต่อกัน เริ่มจากแพ้ อาร์เซน่อล 1-3, แพ้ ไบรท์ตัน 1-3 ต่อด้วยแพ้ บาเยิร์น มิวนิค 3-4 ในนัดล่าสุด จนกลายเป็นวิกฤตที่เหล่าแฟนบอลต่างก็ตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับทีมดังทีมนี้กันแน่? ซึ่งหากมองย้อนกลับไป ปัญหาในทีมน่าจะเริ่มก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่ก่อนเริ่มซีซั่นนี้แล้ว

1. การเทคโอเวอร์ที่ยืดเยื้อ
สาวก "เร้ด เดวิลส์" ออกมาประท้วงต่อต้านการบริหารงานของตระกูลเกลเซอร์มาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีหลัง เหตุเพราะบอร์ดบริหารทำงานผิดพลาดหลายครั้ง โดยเฉพาะการเน้นหารายได้และทำกำไรมากกว่าการพัฒนาทีมเพื่อนำไปสู่การเป็นแชมป์ กระทั่งเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว ที่ตระกูลเกลเซอร์เปิดเผยว่าพร้อมพิจารณาข้อเสนอเทคโอเวอร์สโมสรจากกลุ่มทุนที่มีความสนใจ นำมาซึ่งความหวังของเหล่าแฟนบอล

โดยที่ผ่านมามีกลุ่มทุนใหญ่หลายรายแสดงท่าทีให้ความสนใจเข้ามาเทคโอเวอร์ ทั้งกลุ่มทุนของ เซอร์จิม แรดคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆของเกาะอังกฤษ รวมถึงกลุ่มทุนจากกาตาร์ที่พร้อมทุ่มไม่อั้นเช่นกัน 

แต่ตะกูลเกลเซอร์ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ จัดการปฏิเสธข้อเสนอไปหลายต่อหลายครั้งโดยให้เหตุผลว่าเป็นข้อเสนอที่ "ไม่ดีพอ" จนทำให้เหล่าสาวกปีศาจแดงต่างตั้งคำถามว่า บอร์ดบริหารต้องการขายทีมจริงๆหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ "โยนหินถามทาง" เพื่อให้รู้มูลค่าในตลาดของสโมสรเท่านั้น

และถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าการเทคโอเวอร์จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และจะเกิดขึ้นเมื่อใด

2. เรื่องน่าปวดหัวจากบรรดานักเตะ
เมสัน กรีนวู้ด ดาวรุ่งพรสวรรค์สูงสุดของงแมนฯยูไนเต็ด ในรอบหลายปี ก่อคดีทำร้ายร่างกายแฟนสาวจนถูกตัดออกจากทีม และยังไม่เคยได้ลงสนามภายใต้การคุมทัพของ เทน ฮาก มาก่อน ซึ่งแม้ว่าบทสรุปจะจบลงที่อัยการสั่งยุติการสอบสวนแต่ก็มีการมองกันว่า "ไม่ได้หมายความว่า กรีนวู้ด จะไม่ได้ทำเรื่องดังกล่าว" เนื่องจากสาเหตุที่เรื่องนี้ยุติลงก็เพราะไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอเท่านั้น ซึ่งจากเรื่องนี้ก็ทำให้เกิดกระแสกดดันสโมสรอย่างหนัก จนสุดท้ายก็ต้องตัดสินใจปล่อยตัว กรีนวู้ด ไปให้ เคตาเฟ่ ในลีกสเปน ในรูปแบบของการยืมตัว

เรื่องของกรีนวู้ดเพิ่งจะจบ แต่หลังจากนั้นแค่ไม่กี่วัน "อันโตนี่" แนวรุกทีมชาติบราซิลก็ไปก่อเรื่องในทำนองเดียวกัน หลังถูกอดีตแฟนสาวแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย แถมยังมีหญิงสาวอีก 2 รายที่เข้าแจ้งความในข้อหาเดียวกันนี้อีกด้วย (ก่อนจะถอนแจ้งความในเวลาต่อมา) ซึ่งจากคดีดังกล่าวก็ทำให้ แมนฯยูไนเต็ด ต้องสั่งพักงาน อันโตนี่ ชั่วคราว และนั่นก็ทำให้แนวรุกกราบขวาของทีมมีปัญหาขึ้นมาทันที

เท่านั้นยังไม่พอ "เจดอน ซานโช่" แนวรุกทีมชาติอังกฤษ ก็มีปัญหาขัดแย้งกับ เอริก เทน ฮาก อีกคน หลังกุนซือชาวดัตช์ให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า ซานโช่ ซ้อมได้ไม่ดีพอจึงถูกตัดชื่อออกจากเกมที่แพ้ อาร์เซน่อล จนทำให้เจ้าตัวออกมาตอบโต้ผ่านทวิตเตอร์ว่าเป็นเรื่องไม่จริง มั่นใจว่าตัวเองซ้อมได้ดีอยู่แล้ว และตัวเองกำลังถูกสโมสรทำให้เป็น "แพะรับบาป" ส่งผลให้ แมนฯยูไนเต็ด สั่งตัดชื่อออกจากทีมชุดใหญ่ทันที

และนั่นก็ทำให้แนวรุกกราบขวาของปีศาจแดง แทบไม่มีตัวเลือกเหลืออยู่ มีเพียง ฟากุนโด้ เปลิสตรี ดาวรุ่งชาวอุรุกวัยแค่รายเดียวเท่านั้นที่เป็นปีกขวาโดยธรรมชาติ แต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะเป็นตัวจริง ทำให้มิดฟิลด์ตัวรุกอย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ต้องขยับมาเล่นกราบขวาแทนทั้งที่เป็นตำแหน่งที่ไม่ถนัด
3. อาการบาดเจ็บรุมเร้า
เป็นเรื่องโชคร้ายอย่างยิ่งสำหรับ เอริก เทน ฮาก และสาวกปีศาจแดง เมื่อการออกสตาร์ทซีซั่นนี้พวกเขาต้องเจอปัญหานักเตะบาดเจ็บนับสิบราย ไม่ว่าจะเป็น ไทเรลล์ มาลาเซีย, ลุค ชอว์, อารอน วาน-บิสซาก้า, แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และ ราฟาเอล วาราน รวมไปถึงนักเตะใหม่อย่าง เมสัน เมาน์ท และโซฟียาน อัมราบัต และยังมีดาวรุ่งอย่าง อาหมัด ดิยัลโล่ และค็อบบี้ ไมนู อีกด้วย ทำให้ใน 6 เกมที่ผ่านมาพวกเขาต้องจัด 11 ตัวจริงแทบไม่ซ้ำกันเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

ทั้งปัญหาจากตัวนักเตะ และอาการบาดเจ็บที่ต้องเผชิญ ทำให้ทีมต้องปรับแผนการเล่นไปตามสถานการณ์ มีทั้ง 4-3-3, 4-2-3-1 รวมถึง 4-4-2 แบบไดม่อนด์ ฟอร์มการเล่นจึงไม่คงที่ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ถือว่าหนักหนาอยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องเจอกับโปรแกรมการแข่งขันที่หนักหน่วงอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเจอกับทีมใหญ่อย่าง สเปอร์ส, อาร์เซน่อล และ บาเยิร์น มิวนิค รวมถึง ไบรท์ตัน ที่แม้จะไม่ใช่ "บิ๊กทีม" แต่ฟอร์มการเล่นถือว่ากำลังร้อนแรง ซึ่งนั่นก็ทำให้ แมนฯยูไนเต็ด ต้องพบกับความพ่ายแพ้ทั้งหมด

จากนี้จึงเป็นการบ้านที่กุนซือ เอริก เทน ฮาก ต้องรีบแก้ไขให้ได้ เริ่มจากการเจอกับ เบิร์นลี่ย์ ของกุนซือ แวงซองต์ ก็องปานี ในวันเสาร์นี้ ซึ่ง แมนฯยูไนเต็ด ต้องพยายามคว้า 3 คะแนนเพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมาให้ได้โดยเร็วที่สุด