
19 ธันวาคม 2568 มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม (มสส.) กับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกันจัดเสวนา “ขับเคลื่อนกลไกเพื่อคุ้มครองสิทธิแก่ผู้ประสบความรุนแรงในครอบครัวและความรุนแรงฐานเพศด้วยความเป็นมิตร” พร้อมเปิดเผยรายงานผลการสำรวจข้อมูลสถานการณ์คนพิการที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว และความรุนแรงฐานเพศ ประจำปี
นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า กระทรวง พม. ให้ความสำคัญกับการดูแลกลุ่มเปราะบาง คนพิการ โดยมีนโยบายเร่งด่วนหลายเรื่อง คือ
1. ปรับหลักเกณฑ์ประเมินความพิการจากเดิมที่ใช้หลักประเมินด้านการแพทย์ซึ่งไม่ครอบคลุมความพิการมาใช้เกณฑ์ทางสังคม ซึ่งจะดูทั้งลักษณะกายภาพร่างกาย ถ้าคนไหนที่มีภาวะบกพร่องหรือไม่สามารถใช้ประโยชน์จากอวัยวะหรือร่างกายได้สมบูรณ์แบบ
เช่น ตาบอดข้างเดียว จากเดิมที่ไม่เคยได้รับสิทธิการเป็นคนพิการก็จะสามารถได้รับสิทธิตรงนี้ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ได้
2. การค้นหาคนพิการมาขึ้นทะเบียนเพื่อจะได้รับสิทธิสวัสดิการสำหรับคนพิการตามกฎหมาย ซึ่งจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ ประมาณการว่าประเทศไทยมีคนพิการประมาณ 4.1 ล้านคน แต่ปัจจุบันขึ้นทะเบียนเพียง 2.26 ล้านคน มีคนที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนเพราะติดเรื่องหลักเกณฑ์ข้างต้น ครอบครัวยังไม่ยอมรับว่าพิการ และคนพิการไม่สามารถเดินทางมาขึ้นทะเบียนได้
และ 3. สร้างโอกาสให้คนพิการเข้าถึงสิทธิในการมีงานทำ และการเข้าถึงแหล่งทุนสำหรับประกอบอาชีพ
ปลัดกระทรวง พม. กล่าวต่อว่า สำหรับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ที่ผ่านมากระทรวง พม. ได้ร่วมกับภาครัฐ ภาคประชาชน ในการรณรงค์สร้างการรับรู้ โดยจะเน้นการ “ไม่นิ่งเฉย ไม่ยอมรับ ไม่กระทำความรุนแรง ต่อสตรีบุคคลในครอบครัวและคนพิการ” ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมาย แต่ต้องยอมรับว่าในการรณรงค์ หรือกฎหมายที่ใช้อยู่อาจจะยังไม่สามารถแก้ปัญหาความรุนแรงได้อย่างสิ้นเชิง สถิติตัวเลขการกระทำความรุนแรงในครอบครัวยังหนาแน่นชุกชุม
จึงมีการปรับปรุงพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวฯ คู่ขนานไปกับการรณรงค์สร้างความรับรู้ และการบังคับใช้กฎหมาย โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามาร่วมในกระบวนการ บางส่วนไม่ได้เข้ามาในกระบวนการร่างกฎหมาย กฎระเบียบ แต่มีส่วนร่วมจากกระบวนการรับฟังความคิดเห็น
ด้าน นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์ความรุนแรงค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยหากเป็นความรุนแรงด้านเพศนั้น พบว่า 1 ใน 3 ของประชากรโลกต่างเคยประสบปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะคนพิการที่เป็นผู้หญิง ทั้งนี้ประเทศไทยมีคนพิการที่จดทะเบียน 2.26 ล้านคน แต่เชื่อว่าของจริงจะมีประมาณ 4 ล้านคน นี่คือความซับซ้อนของปัญหา สสส. จึงเข้ามาช่วยสนับสนุนกลไกต่าง ๆ เพื่อบรรเทาปัญหาให้มากที่สุด เช่น การสนับสนุนการทำงานในพื้นที่ และการเข้าเสริมกลไกภาครัฐที่มีอยู่แล้วให้เข้มแข็งขึ้น และบูรณาการร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้การแก้ปัญหาความทุกรูปแบบของความรุนแรง และครอบคลุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นางภรณี กล่าวต่อว่า สำหรับข้อเสนอแนะไปยังภาครัฐ นั้น สสส. เชื่อว่า การลดเงื่อนไขทางกฎหมาย การไกล่เกลี่ยและยอมความ แล้วลงโทษตามความผิดทางอาญา เป็นทางที่จะช่วยลดปัญหา หรือทำให้เกิดการยำเกรงต่อกฎหมาย หรือแม้แต่การทำเรื่องนี้ให้เป็นวาระแห่งชาติ ทำงานเชื่อมโยงหน่วยงาน และเชื่อมโยงกับปัญหาและแนวทางแก้ปัญหา ส่วนข้อเสนอต่อคนทั่วไปนั้น หากไม่เพิกเฉยต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น ไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนสองคน แต่มองว่าเป็นเรื่องที่สามารถปกป้องคุ้มครองเหยื่อความรุนแรงได้ก็น่าจะเป็นทิศทางที่ดี ยิ่งเกิดกับคนพิการยิ่งช่วยเหลือตัวเองได้ยาก ดังนั้นทุกคนต้องไม่เพิกเฉย ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงในบ้าน ที่ทำงาน หรือที่สาธารณะ
ขณะที่ รศ.ดร.บุญเสริม หุตะแพทย์ นักวิชาการอิสระ ที่ได้ศึกษาวิจัย กล่าวว่า ปัญหาความรุนแรงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และซับซ้อน ซึ่งผู้ถูกกระทำมักไม่ค่อยเปิดเผยข้อมูล เข้าถึงข้อมูลยาก และยิ่งเป็นกรณีคนพิการ ก็พบว่ามีข้อจำกัดค่อนข้างมาก จึงเข้าถึงการบริการช่วยเหลือได้ยาก ทั้งนี้จากการสำรวจข้อมูลปี 2567-2568 ใน 2 จังหวัด คือสมุทรปราการ และหนองบัวลำภู ซึ่งมีจำนวนคนพิการที่ลงทะเบียนจำนวนมาก โดยมีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 220 คน พบว่า มีผู้ถูกกระทำรุนแรงมากถึง 77 คน จากผู้ให้ข้อมูล 208 คน หรือคิดเป็น 37% คน ซึ่งเมื่อเทียบกับการสำรวจในปีที่ผ่านมา พบเพียง 17% หรือ 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่าง ที่ระบุว่าตนเองมีประสบการณ์ถูกกระทำความรุนแรงอย่างอย่างใดอย่างหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่น่าตกใจ คือ มีคนพิการ 1 คน ถูกกระทำความรุนแรงมากถึง 14 ลักษณะ ความรุนแรงที่พบมากสุด คือ ความรุนแรงทางวาจา อารมณ์ จิตใจ จากคนในครอบครัว ถูกทอดทิ้งให้อยู่กับคนอื่น 15.9% ถูกละเลย ไม่สนับสนุน เช่น ให้อยู่ที่ไม่ปลอดภัย อาหารไม่มีคุณภาพ ไม่มีโอกาสไปเจอคนอื่น หรือไม่ได้เรียน ซึ่งเป็นการถูกจำกัดพื้นที่ เป็นต้น
รศ.ดร.บุญเสริม กล่าวต่อว่า ในจำนวนคนพิการที่ถูกกระทำรุนแรงฯ ผู้ถูกกระทำ 55.8% เป็นหญิงและส่วนใหญ่อายุ 50 ปี ขึ้นไป โดยมีปัญหาการเคลื่อนไหว 62.3% เป็นผลมาจากการเจ็บป่วย 41.6% คนโสด 40.3% อยู่กับคู่สมรส 33.8%
อย่างไรก็ตาม เกือบทั้งหมด หรือ 89.6% อยู่กับลูกหลาน เป็นครอบครัวขนาดกลางมีสมาชิก 3-4 คน โดยมีผู้กระทำความรุนแรงต่อคนพิการส่วนใหญ่เป็นคนในครอบครัว 75% ถูกกระทำโดยคนรู้จัก 16 % และคนอื่นที่คนพิการไม่คุ้นเคย 9% ส่วนพื้นที่เกิดความรุนแรงมากที่สุด คือ บ้าน 42.8% พื้นที่นอกบ้าน เช่น จากการเดินทาง 21.6% และสภาพแวดล้อม ชุมชน 14.6%
นักวิชาการอิสระ กล่าวอีกว่า สำหรับข้อเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเเนินการช่วยเหลือ ป้องกัน คุ้มครอง และเยียวยาคนพิการจากความรุนแรงฯ และจัดให้คนพิการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการที่จำเป็นตามหลักการส่งเสริมความเสมอภาคในด้านสุขภาพของคนพิการ
2.ให้หน่วยงานหรือองค์กรในระดับท้องถิ่นดำเนินงานให้คนพิการเข้าถึงสวัสดิการที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตอย่างเร่งด่วน เพื่อให้คนพิการผ่านพ้นความยากลำบาก
3. มีการศึกษาสถานการณ์ความรุนแรงในกลุ่มคนพิการอย่างต่อเนื่องและเป็นทางการ กำหนดรูปแบบ วิธีการวิจัยที่สามารถเข้าถึงข้อมูลสถานการณ์ความรุนแรงต่อคนพิการได้มากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของคนพิการในกระบวนการวิจัย และ
4.สนับสนุนทางสังคมและเครือข่าย ให้จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีและมีสวัสดิภาพให้คนพิการในชุมชน และส่งเสริมความรู้และทำความเข้าใจประเด็นความรุนแรงให้กับคนพิการและครอบครัว รวมทั้งคนทำงานกับคนพิการ