ไขคำตอบ ลาสิกขาจากปาราชิกไปแล้ว ตามวินัยสงฆ์ กลับมาบวชได้ไหม?
ปรากฏการณ์ สีกากอล์ฟ ที่เข้าไปมีสัมพันธ์ลึกซึ้ง กับพระผู้ใหญ่หลายรูป และมีการถ่ายคลิปและภาพเอาไว้แบล็คเมล์กว่า 80,000 ไฟล์ เพื่อรีดเอาเงิน โดยมีทั้งการออดอ้อน และบังคับให้โอนเงิน ที่ล่าสุดพระผู้ใหญ่นับ 10 รูป ทยอยลาสิกขาเนื่องจากรู้ตัวว่าปาราชิก ก่อนถูกสอบนิคหกรรมหรือก่อนถูกกล่าวโทษ
ทำให้เกิดคำถามว่า ตามวินัยสงฆ์การชิงสึก ก่อนถูกสอบนิคหกรรม หรือก่อนถูกกล่าวโทษ แล้วกลับมาบวชใหม่ได้หรือไม่ ?
ผู้ที่ห้ามบวชตามพระวินัย ดังนี้
- หลบหนีคดีอาญา
- ต้องคดีอาญา
- หลบหนีราชการ
- เคยถูกจำคุก ฐานเป็นผู้ร้าย
- คนถูกห้ามอุปสมบทเด็ดขาดทางพระศาสนา มี 3 ประเภท คือ
- มีเพศและภาวะบกพร่อง
- เคยทำอนันตริยกรรม 5 อย่าง คือ การฆ่ามารดา , การฆ่าบิดา , การฆ่าพระอรหันต์ , การทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อ , การทำให้สงฆ์แตกกัน
- ผู้ที่ทำผิดต่อพระพุทธศาสนา
- ผู้ที่เคยต้องอาบัติปาราชิก หมายถึงผู้ที่เคยบวชแล้วแต่ทำผิดร้ายแรง ถึงระดับที่ขาดจากความเป็นพระภิกษุ บุคคลประเภทนี้จะกลับมาบวชอีกไม่ได้ ประกอบด้วย
- เสพเมถุน
- ลักทรัพย์
- ฆ่ามนุษย์
- อวดอุตริมนุสธรรม หมายถึงห้ามโอ้อวดเกินจริง
ทันทีที่ทำผิดใน 4 ข้อนี้จะถือว่าปาราชิกทันที แม้ยังไม่ได้กล่าวลาสิกขาก็ตาม และไม่สามารถกลับมาบวชใหม่ได้ตลอดชีวิต
- ผู้ที่ประทุษร้ายภิกษุณี
- คนลักเพศ คือเ อาผ้าเหลืองมาห่มเอง โดยไม่มีพระอุปัชฌาย์
- ผู้ที่ไปเข้ารีตเดียรถีย์ หมายถึงพระภิกษุหรือสามเณร ที่เปลี่ยนไปเป็นนักบวชนอกพระพุทธศาสนา จะกลับมาบวชไม่ได้
- คนมีโรคติดต่อเป็นที่น่ารังเกียจ เช่น วัณโรคในระยะอันตราย
- คนมีอวัยวะพิการจนไม่สามารถปฏิบัติกิจพระศาสนาได้
โดยกลุ่มคนเหล่านี้ หากคณะสงฆ์ให้บวชโดยที่ไม่รู้ เมื่อทราบภายหลังจะต้องให้ลาสิกขา การห้ามบวชหมายถึงห้ามบวชเป็นทั้งพระภิกษุและสามเณร
ส่วนผู้ต้องอาบัติปาราชิก แล้วปกปิดความจริง กลับมาบวชใหม่ มีความผิดและบทลงโทษหรือไม่?
พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2535 มาตรา 44 ระบุว่า ผู้ใดพ้นจากความเป็นพระภิกษุเพราะต้องปาราชิกมาแล้ว ไม่ว่าจะมีคำวินิจฉัยตาม มาตรา 25 หรือไม่ก็ตาม แต่มาบรรพชาอุปสมบทใหม่ โดยกล่าวเท็จ หรือปิดบังความจริงต่อพระอุปัชฌาย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี