svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

ทำได้ไหม หนุ่มเก็บไอโฟนได้ เรียกสินน้ำใจ 1,000 บาท งานนี้ชาวเน็ตวิจารณ์ฉ่ำ

ทำได้ไหม หนุ่มโพสต์เก็บไอโฟนได้ เรียกสินน้ำใจ 1,000 บาท แต่ถูกเจ้าของต่อเหลือ 300 งานนี้ชาวเน็ตวิจารณ์ฉ่ำ พร้อมเปิดข้อกฎหมายทำได้หรือไม่ มาดูกัน

เป็นเรื่องราวที่ชาวเน็ตแชร์ และวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก รวมถึงยังถือเป็นเรื่องใกล้ตัว ที่เชื่อว่าคงมีใครหลายคน เคยประสบพบเจอมากับตัว หรือคนรอบข้าง โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า ได้มีหนุ่มคนหนึ่งโพสต์ว่า สามารถเก็บโทรศัทพ์มือถือไอโฟนได้ และได้มีการติดต่อเจ้าของ เพื่อให้มารับกลับไป แต่ขอเงินสินน้ำใจจำนวน 1,000 บาท 

แต่ทางเจ้าของอ้างว่า เพิ่งตกงาน ก่อนจะมีการต่อรองราคากัน โดยทางเจ้าของไอโฟน เสนอราคามาที่ 300 บาท ทำให้ทางหนุ่มที่เก็บไอโฟนได้ ระบุให้เจ้าของมารับด้วยตัวเอง พร้อมโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กของตัวเองเชิงตัดพ้อว่า 

บางครั้งการเป็นคนดี ก็ได้ราคาที่ต่ำต้อยซะเกิน
เก็บได้เอาไปขายที่อื่นก็ไม่ต่ำกว่า 2-3 พัน

ทำได้ไหม หนุ่มเก็บไอโฟนได้ เรียกสินน้ำใจ 1,000 บาท งานนี้ชาวเน็ตวิจารณ์ฉ่ำ
 

ซึ่งภายหลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ ได้มีชาวเน็ตจำนวนมาก เข้ามาแสดงความคิดเห็น โดยส่วนมากบอกให้หนุ่มคนดังกล่าว คืนไอโฟนให้เจ้าของไป บางรายหนึ่งขนาดยอม จ่ายเงินค่าสินน้ำใจแทนให้ ฯลฯ

ตัวอย่างความคิดเห็นชาวเน็ต
ตัวอย่างความคิดเห็นชาวเน็ต

อย่างไรก็ตามต่อมา หนุ่มเจ้าของโพสต์ดังกล่าว ได้มีการโพสต์เพิ่มเติม เพื่ออธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า 

เรื่อง iPhone 11 pro เก็บได้ที่ถนนราษฎร์บูรณะ จึงได้เอากลับมาที่ทำงาน ก็พยายามติดต่อเจ้าของเครื่องอยู่นะ แต่เครื่องหน้าจอแตก  ซึ่งตัวผมถอดซิมเจ้าของเครื่องออกมาใส่เครื่องผม เพื่อที่รอเขาติดต่อกลับมา

แต่ดันถูกหวย เจ้าของเครื่องไประระงับสัญญาณซิม

แล้วทีนี้เอาไงดีวะ กูก็ไม่ใช่คนดีซะด้วย แต่ก็พยายามค้นหาเบอร์ในซิมจนเจอเบอร์เจ้าของเครื่อง ที่สำคัญนะ..(จับใจความดีๆน)ะอีสัสทั้งหลาย กูเป็นคนโทรหาเจ้าของเครื่องเองนะ แล้วก็ได้แอด line คุยกัน ก็ถามเจ้าของเครื่องอยู่ที่ไหน ขอ 1,000 บาทได้ไหมไปส่งให้ถึงที่เลย

เจ้าของเครื่องไม่มีเงินไม่พอ ขอเหลือ 300 บาท แต่ผมก็ถามเขา 500 ได้ไหมนัดเจอกันที่ท่าน้ำครึ่งทาง
เขาก็บอกว่าตังค์ไม่มีจริงๆคนที่บ้านเข้าโรงพยาบาล

ผมก็ตอบกลับไปว่า 300 ก็เข้ามาเอาที่บริษัทผมนะผมไม่บริการส่งให้นะครับเพราะตอนนั้นก็อยู่ในเวลางานผม

จบแล้วนะตัวผมกลับเจ้าของเครื่อง

มาต่อ facebook ดีกว่า ผมก็นึกยังไงไม่รู้หรือจะเขย่าหรืออยากอะไรสักอย่างใน facebook ในสังคมก็เข้าไปโพสต์มือถือ iPhone ถ้าขายได้ราคาเท่าไหร่โพสต์ไปสัก 3 กลุ่มก็ตามที่เห็น facebook ผมเลยครับกลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืน5555นึกแล้วก็ขำอยากจะมีทนายเอาหมิ่นประมาทพวกที่มาด่าผมซะเสียหายเลย ก็ไม่มีอะไรลูกค้ามารับเครื่องให้น้ำใจ 300 บาทตามที่คุยกันใน line

ก็ในใจก็อยากจะเก็บได้มือถือพวกคนรวยๆนะครับเพราะผมมันก็จน ผมแค่เสนอราคาสูงไว้ก่อน ผมเป็นคนที่ต่อรองราคาเก่งและซื้อขายเก่งครับมันคือจิตสำนึกของผม ผมก็อยากจะเก็บมือถือพวกคนรวยๆหน่อยนะครับก็อาจจะได้เงินเยอะกว่านี้ จบเรื่องดราม่านะครับ

เดี๋ยวจะจับใจความให้สำหรับพวกมองผมในแง่ร้ายไปแล้ว ตัวผมติดต่อกับเจ้าของเครื่อง...ก่อนโพสต์ขาย iPhone ในกลุ่มนะครับ นะครับ ก็ดูเวลาใน line ได้นะถ้า ตัวผมไม่ใช่คนดีย้ำอีกรอบ แต่เงินก็สำคัญ

ทำได้ไหม หนุ่มเก็บไอโฟนได้ เรียกสินน้ำใจ 1,000 บาท งานนี้ชาวเน็ตวิจารณ์ฉ่ำ

ซึ่งภายหลังที่โพสต์นี้ถูกเผยแพร่ ก็ทำเอาชาวเน็ตถึงกับเดือด แสดงความเห็นอย่างดุเดือด โดยส่วนมากตั้งคำถามว่า นี่คือการกรรโชกทรัพย์ใช่หรือไม่ , บ้างก็ระบุว่า การทำเช่นนี้อาจผิดกฎหมาย ฯลฯ

ตัวอย่างความคิดเห็นชาวเน็ต
ตัวอย่างความคิดเห็นชาวเน็ต  

เปิดข้อกฎหมาย เก็บของได้เรียกรับสินน้ำใจได้หรือไม่  

เรื่องราวของการเก็บทรัพย์สินได้และการรับเงินสินน้ำใจนั้น ทางเพจเฟซบุ๊ก บ้านกฎหมายเพื่อเพื่อนกฎหมาย ได้มีการอธิบายข้อกฎหมายในเรื่องอย่างละเอียด พร้อมมีการยกตัวอย่าง ระบุว่า   

ในเรื่องการเก็บของตกหาย มีประเด็นทางกฎหมาย ที่จะกล่าวถึงสามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเด็น คือ การเก็บของตกหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการเก็บของตกหายตามประมวลกฎหมายอาญา 

1.การเก็บของตกหาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจในคำว่าของตกหาย หรือทรัพย์สินหาย ว่าคือ ของที่มีเจ้าของแต่เจ้าของหรือผู้ที่มีสิทธิเหนือของนั้นไม่ทราบว่า ของนั้นอยู่ที่ไหน หายไม่เจอ หรือทำตกไว้ที่ใด โดยที่เจ้าของยังมีกรรมสิทธิ์ในของนั้นอย่างบริบูรณ์

คนที่เก็บได้จะไม่มีสิทธิใด ๆ ในของหายที่เก็บได้นั้น ของหายนั้นต่างจากของที่ไม่มีเจ้าของ เพราะของไม่มีเจ้าของคือ เจ้าของได้สละกรรมสิทธิ์ในของนั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่อยากได้ของนั้นแล้ว ของไม่มีเจ้าของ คือของที่เจ้าของทิ้งแล้วนั่นเอง ใครอยากได้ก็เข้าไปเก็บเอาได้ นึกถึงของที่อยู่ในถังขยะสินั่นคือของที่ไม่มีเจ้าของอยากได้ก็ไปเก็บเอา  

การปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อเก็บของตกหายได้ ผู้ที่เก็บของตกหายได้ มีหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1323 ต้องทำดังต่อไปนี้ คือ

1.ส่งมอบของนั้นแก่เจ้าของ หรือผู้ที่มีสิทธิจะได้รับของนั้น
2.แจ้งให้เจ้าของหรือผู้ที่มีสิทธิได้รับของนั้นโดยเร็ว
3.ส่งมอบของนั้นแก่เจ้าพนักงานตำรวจ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่อื่น ภายใน 3 วัน และแจ้งถึงพฤติการณ์หรือเบาะแสที่ทราบ เพื่อเป็นเครื่องช่วยในการตามหายตัวเจ้าของ หรือผู้มีสิทธิได้รับของนั้น


ถ้าไม่ทราบตัวเจ้าของ หรือผู้ที่มีสิทธิได้รับของนั้นให้ทำตาม ข้อ 3. ได้กำหนดคือส่งมอบแก่เจ้าพนักงานตำรวจ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่อื่น อีกทั้งผู้ที่เก็บของตกหายได้ ต้องรักษาของนั้นไว้ด้วยความระมัดระวัง

1.1 สิทธิได้รับรางวัลจากเจ้าของ หรือผู้ที่มีสิทธิได้รับของนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1324 คือเรียกเอารางวัลจากผู้ที่เป็นเจ้าของ หรือผู้ที่มีสิทธิได้รับของนั้น เป็นจำนวนร้อยละ 10 แห่งค่าของ จาก 30,000.-บาท
 

เช่น ของตกหายมีค่า 30,000 บาท ผู้เก็บได้จะได้รางวัล 3,000 บาท) ถ้าของตกหายมีราคาสูงกว่า 30,000.-บาท ให้คิดเอาอีกร้อยละ 5 ของจำนวนเงินที่เกินจาก 30,000.-บาท (เช่น ของตกหายมีค่า 50,000 บาท ผู้เก็บได้จะได้รางวัลจาก 30,000 แรก คือ 3,000 บาท 20,000 บาท หลังจะได้ 1,000 บาท รวมจะได้รางวัลทั้งสิ้น 4,000 บาท


ถ้าผู้ที่เก็บของตกหายได้ นำของที่เก็บได้ ส่งเจ้าพนักงานตำรวจ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่อื่น ให้เจ้าของทรัพย์สินหรือผู้ที่มีสิทธิได้รับของนั้น เสียเงินเพิ่มต่างหากจากรางวัล ที่จะต้องให้อีกร้อย 2 ครึ่ง แห่งค่าของของตกหาย เป็นค่าธรรมเนียม แต่ค่าธรรมเนียมนี้จำกัดไว้ไม่เกิน 1,000.-บาท 

 

ยกเว้นกรณี ผู้ที่เก็บของตกหายได้ ไม่ทำตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1323 ผู้นั้นไม่มีสิทธิรับรางวัลตามกฎหมาย เช่น เก็บได้แล้วไม่ส่งมอบของนั้นคืนเจ้าของ ไม่แจ้งเจ้าของ หรือส่งมอบแก่เจ้าพนักงานตำรวจ ย่อมไม่มีสิทธิได้รับรางวัล (อีกกรณีที่สำคัญคือ ถ้าไม่ใช่ของตกหาย ผู้เก็บได้ก็ย่อมไม่มีสิทธิได้รับรางวัลเช่นเดียวกัน กล่าวคือเจ้าของไม่ได้ทำตก ไม่ได้ทำหาย แต่วางไว้แล้วยังไม่ได้มาเอา เพราะถูกกักตัวไว้เพื่อตรวจโรค ก็ไม่สามารถรับรางวัลตามที่กฎหมายกำหนดได้  เว้นแต่จะให้รางวัลตามที่เจ้าของได้ให้มา )
 


1.2 สิทธิได้ของตกหายนั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง ผู้ที่เก็บของตกหายได้ ต้องทำตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1323 (เป็นเจ้าของในของตกหาย) หากเจ้าของหรือผู้ที่มีสิทธิได้รับของนั้น ไม่เรียกเอาของนั้นภายใน 1 ปี นับแต่วันที่เก็บได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1325 วรรคแรก 

1.3 ของตกหายที่ไม่มีผู้เรียกเอา เป็นโบราณวัตถุ กรรมสิทธิ์ตกได้แก่แผ่นดินเสมอ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1325 วรรคสอง แต่ผู้ที่เก็บของตกหายได้ มีสิทธิได้รับรางวัลแห่งค่าของของนั้นร้อยละ 10 จากราคาของวัตถุโบราณนั้น (เช่น ของโบราณนั้นมีค่า 1,000,000 บาท ผู้เก็บได้จะได้รางวัล 100,000 บาท) 

1.4 ของตก หรือทิ้ง ทะเล ทางน้ำ หรือน้ำซัดขึ้นฝั่ง ต้องบังคับตามกฎหมายและข้อบังคับ ว่าด้วยการนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1326 เช่น พระราชบัญญัติเดินเรือในน่านน้ำสยาม พ.ศ.2456 มาตรา 127-129 ถ้ายังมีกรณีที่ไม่สามารถบังคับได้ ให้นำเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคสอง คือ เอามาเทียบเคียงและบังคับ ส่วนใหญ่แล้วของที่ตกน้ำแล้ว จะบังคับอย่างไร ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ชัดเจน แต่เนื่องจากของที่ตกน้ำแล้ว เจ้าของจะคิดว่าไม่มีทางได้คืนมา  หรือเรียกง่าย ๆ ว่า เจ้าของมีเจตนาสละกรรมสิทธิ์แล้ว จึงได้เห็นกันเนือง ๆ ว่า จะมีคนมาดำน้ำ หรือร่อนหาของมีค่าในน้ำ เพราะถือว่าของที่ตกน้ำนั้น ไม่มีเจ้าของแล้ว คนที่เก็บได้จึงได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์

1.5 ของมีค่าที่ซ่อนหรือฝังไว้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1328 โดยของมีค่านั้น ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 110/130 มีการแบ่งทรัพย์แผ่นดินออกเป็น 3 สถาน คือ 1.ของมีค่าราคามาก 2.ของที่เป็นโบราณวัตถุหรือของประหลาด 3.ของไม่มีค่า และยังต้องไปดู พระราชบัญญัติโบราณสถาน พ.ศ.2504 มีข้อที่ต้องสังเกตว่า ของมีค่านั้นจะต้องซ่อนหรือฝังไว้ ไม่เป็นที่เห็นได้โดยง่าย ถ้าเห็นได้โดยง่าย จะเป็นเรื่องของของตกหายไป

ซึ่งของมีค่าที่ซ่อนหรือฝังไว้ มีผู้เก็บได้และไม่มีผู้ใดอ้างว่าเป็นเจ้าของได้ กรรมสิทธิ์แห่งของนั้นตกเป็นของแผ่นดิน ผู้ที่เก็บได้ต้องส่งมอบของนั้น แก่เจ้าพนักงานตำรวจ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่อื่น เมื่อส่งมอบแล้วมีสิทธิได้รับรางวัล 1 ใน 3 แห่งค่าของของนั้น (เช่น ของนั้นมีค่า 900,000 บาท ผู้เก็บได้มีสิทธิรับรางวัล 300,000 บาท)

2.การเก็บของตกหายตาม ตามประมวลกฎหมายอาญา คือ ต้องรับโทษทางอาญา  

2.1 ความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 บัญญัติว่า ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6,000.-บาท 

การเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปนั้น รวมถึงทรัพย์ที่ผู้อื่นได้ครอบครองทรัพย์ ไว้แทนเจ้าของตัวจริงก็ได้ ดังนั้นการเก็บของตกหายได้แล้ว เอาไปโดยอยากได้เก็บไว้เป็นของตัวเอง ย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์และต้องรับโทษทางอาญาคือจำคุกตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ได้ เพราะหากเจ้าของตกหายนั้น ยังติดตามหาคืนของนั้นคืนได้อยู่ (เจ้าของทรัพย์อยู่ใกล้ทรัพย์ตกหาย และกำลังติดตามหาของที่ตกหายนั้น เช่น เจ้าของกระเป๋าใส่เงินนั่งดูหนัง แล้วทำกระเป๋าใส่เงินหล่น ผู้เก็บได้นั่งอยู่ข้าง ๆ จึงเก็บเอาไว้เป็นของตัวโดยไม่บอกเจ้าของ โดยต้องดูสภาพทรัพย์ เหตุการณ์ เวลา และพฤติการณ์ของเจ้าของทรัพย์ประกอบด้วย)

เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 1360/2503 ทรัพย์สินหายเป็นเรื่องที่ทรัพย์หลุดพ้น ไปจากความยึดถือของเจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยมิได้ตั้งใจ ไม่ใช่เรื่องสละการครอบครอง ผู้ใดเก็บเอาทรัพย์นั้นไป จะเป็นลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์สินหาย ต้องพิจารณาตามพฤติการณ์เป็นราย ๆ ไป คือ ถ้าเก็บเอาไปโดยรู้หรือควรรู้ว่าทรัพย์นั้น เจ้าของกำลังติดตามหรือจะติดตามเพื่อเอาคืนเป็นลักทรัพย์ ถ้าไม่รู้หรือไม่มีเหตุอันควรรู้เป็นยักยอกทรัพย์สินหาย เช่น รถทหารคว่ำทำให้ปืนทหารตกน้ำ 1 กระบอก ทหารทำการงมหา 2 ครั้งไม่พบ จึงไปแจ้งความที่อำเภอ ต่อมาค่ำวันเดียวกันนั้นเอง จำเลยไปงมเอาปืนนั้นมาขายเสีย แสดงว่าจำเลยรู้หรือควรรู้ว่า รถทหารคว่ำปืนจมน้ำอยู่ แล้วถือโอกาสตอนปลอดผู้คน ไปงมเอาปืนที่อยู่ในระหว่างเจ้าของกำลังติดตามเพื่อเอาคืน จึงผิดฐานลักทรัพย์ ซึ่งกล่าวได้ว่าถ้ามาหาครั้งที่ 3 จะพบปืนได้ ถือได้ว่ามีเหตุขาดจากการยึดถือปืนเป็นเพียงชั่วคราว เท่านั้น

2.2 ความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 บัญญัติว่า ผู้ใดครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000.-บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครอง ของผู้กระทำความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทำผิดเก็บได้ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 3,000.-บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ผู้ที่เก็บของตกหายได้ไม่ส่งคืนเจ้าของ)

โดยการเอาทรัพย์ของผู้อื่นที่ตกหายไป โดยที่ผู้เก็บได้ไม่ยอมมอบคืนแก่เจ้าของ ผู้ที่เก็บได้มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหาย และต้องรับโทษทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคสอง ซึ่งทรัพย์สินหาย คือทรัพย์ที่มีเจ้าของแต่เจ้าของไม่รู้ว่าทรัพย์สินนั้นตกหายที่ใด เพราะไม่ทราบสถานที่ที่ตกหาย จึงถือได้ว่าการครอบครองหลุดออกจากตัวเจ้าของแล้วเมื่อของตกหาย ผู้ที่เก็บได้ถือว่าเป็นผู้ที่เข้าครอบครองทรัพย์สินที่ตกหาย ถ้าเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต ต้องรู้ไว้ว่าทรัพย์สินหาย ไม่ใช่ทรัพย์ไม่มีเจ้าของ แต่เป็นทรัพย์ที่เจ้าของกำลังติดตามหาอยู่

2.3 การที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ หรือยักยอกทรัพย์สินหายนั้น จะต้องมีการนำข้อเท็จจริงแต่ละกรณีที่เกิดขึ้นมา เพราะคำพิพากษาฎีกาแต่ละเรื่อง ยังต้องอาศัยข้อเท็จจริงเป็นรายกรณี เพราะความผิดฐานลักทรัพย์ เป็นเรื่องที่เจ้าของกำลังติดตามหา แล้วผู้เก็บของหายได้รู้ว่า กำลังตามหาอยู่ แต่ยักยอกทรัพย์สินหาย ต้องเป็นเรื่องที่เจ้าของไม่รู้ว่า ของหายที่ไหน และไม่ได้รู้ว่าจะติดตามของหายได้ที่ใด

ข้อสังเกต 
แม้ว่าจะมีกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้ เกี่ยวกับสิทธิของผู้เก็บของหายได้ก็ตาม แต่เมื่อมีข่าวการเก็บของหายได้แล้ว ยังมีกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินที่หาย ให้รางวัลผู้ที่เก็บได้น้อยกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้  โดยไม่มีการจ่ายรางวัลตามกฎหมายกำหนด ซึ่งสื่อมวลชนก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ด้วย

ส่วนนักกฎหมายก็มองว่า เป็นเรื่องที่ไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่ จนมิได้มุ่งเน้นให้ความรู้ที่เป็นเรื่องทั่วไปอย่างนี้  ต้องมีการส่งเสริมให้ความรู้ที่เป็นกฎหมายเบื้องต้น ให้ประชาชนทั่วไป ได้รู้ถึงสิทธิของตนที่ควรมีควรได้ตามกฎหมายด้วย ไม่มองข้ามสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นว่า ธรรมดาในสายตาเรา แต่มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาสำหรับคนอื่น ส่วนสำคัญ คือบุคคลทั่วไป ไม่ทราบว่า นอกจากศีลธรรมในการเก็บของหายได้ ต้องส่งคืนเจ้าของแล้ว ยังต้องรับผิดตามกฎหมาย คือ ประมวลกฎหมายอาญาด้วย เพื่อส่งเสริมทั้งความรู้และคุณธรรมสร้างจิตสำนึกดี ๆ ให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เพราะของใคร ใครก็รัก ดังนั้นควรให้ผู้อ่านตัดสินใจเอาเองว่า เมื่อเจอของหายควรเก็บไว้เป็นของตัวเอง หรือส่งคืนเจ้าของดีกว่ากัน



ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า เมื่อเก็บทรัพย์สินของผู้อื่นที่ทำหล่นหายได้ 

ส่งมอบคืนเจ้าของ
แจ้งเจ้าของโดยเร็ว
ส่งมอบแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ภายใน 3 วัน


หากตามหาเจ้าของได้ มีสิทธิได้รับเงินรางวัลจากเจ้าของได้ ตามกฎหมาย
หากไม่สามารถหาเจ้าของได้ภายใน 1 ปี ให้ทรัพย์สินนั้น ตกเป็นของผู้เก็บได้ 
 

หากเก็บทรัพย์สินของผู้อื่นได้แต่ไม่ทำตามขั้นตอนตามกฎหมาย อาจมีความผิด ตามกฎหมายอาญา ( แล้วแต่กรณี ) อันได้แก่

ลักทรัพย์ของผู้อื่น ตาม มาตรา 334 ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 60,000 บาท
ยักยอกทรัพย์สินหาย ตาม มาตรา 352 วรรค 2 ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 1 ปี 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ



ขอบคุณข้อมูล : เฟซบุ๊กบ้านกฎหมายเพื่อเพื่อนกฎหมาย  , กองปราบปราม