
"ครูชัยยศ" แห่งโรงเรียนบ้านยางเปา อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัย และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 5 มีคำสั่งปลดออกจากราชการในเวลาต่อมา ลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
วันนี้ "เนชั่นออนไลน์" มาสรุปปมปัญหา ประเด็นข้อเท็จจริง และบทสรุปจะออกมาในทิศทางใด
เปิดปมดรามา "ครูชัยยศ" ถูกให้ออกจากราชการ
เพจเฟซบู๊ก "วันนั้นเมื่อชั้นสอน" โพสต์เรื่องราวสุดทะเทือนใจ เมื่อกลางดึกวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า..
จบแล้วนะครับกับกรณีครูที่ตรวจรับโครงการอาหารกลางวัน แม้ลูกศิษย์ที่เคยเรียนจะยื่นทัดทานอย่างไร แต่ผลสุดท้ายลงเอยโดยการถูก "ปลดออกจากราชการ"
ปฐมบทเรื่องสะเทือนใจ เกิดขึ้นเมื่อ นายชัยยศ สุขต้อ อายุ 57 ปี อดีตครูชำนาญการพิเศษ (คศ.3) โรงเรียนยางเปา อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ถูกร้องเรียนกรณีนำอาหารกลางวันของเด็กประถม มาแบ่งให้รุ่นพี่มัธยม จนกระทั่งโดนให้ออกจากราชการ ต้องมาขายโรตีเลี้ยงชีพ แม้ลูกศิษย์วอนขอความเป็นธรรมให้กับ "ครูชัยยศ" บอกครูทำไปเพื่อนักเรียนที่ยากจน ให้มีโอกาส กินอิ่ม นอนหลับ แต่ไม่เป็นผล
ต่อมา ศิษย์เก่าของครูชัยยศที่ทราบข่าวได้ออกมาเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ ยื่นมือเข้ามาช่วยครูชัยยศ เพราะตอนที่เรียนในโรงเรียนยางเปา ครูชัยยศทำอาหารมาให้กินตลอด เนื่องจากที่บ้านฐานะยากจน หากไม่ได้ครูชัยยศโอกาสในการเรียนต่อแทบจะไม่มี
ครูชัยยศ จะหาทุนการศึกษาให้ รวมทั้งขับรถยนต์ส่วนตัวพานักเรียนไปสมัครเรียนในตัวเมือง จ่ายค่ามัดจำหอพัก ทำให้ทุกวันนี้นักเรียนรุ่นน้อง สามารถศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ ที่สำคัญนักเรียนหลายคนเลือกที่จะเรียนคณะคุรุศาสตร์ มีครูชัยยศเป็นแบบอย่าง
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. เร่งตรวจสอบการถึงใช้เงินผิดประเภท นำค่าอาหารกลางวันเด็กประถม ไปให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาได้กินด้วย ถือว่าทำเพื่อนักเรียน พยายามหาช่องทางอุทธรณ์คำสั่งของ คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษาประจำเขตพื้นที่การศึกษาได้หรือไม่ และเตรียมจะเสนอคณะรัฐมนตรี จัดงบอาหารกลางวัน ให้นักเรียนมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส
ป.ป.ช. แจงปมเอาผิด "ครูชัยยศ"
หลังจากกระแสข่าวกระหึ่มขึ้นเรื่องๆ "ป.ป.ช." ได้ออกมาแจกแจงรายละเอียดกรณีครูชัยยศ ว่า เกิดจากการถูกร้องเรียนทุจริตอาหารกลางวัน ทำให้คุณภาพอาหารไม่ได้มาตรฐาน พบว่ามีมูล จึงขยายผลเพิ่มเติม จนพบการเบิกเงินทดลองจ่าย 60,000 บาทต่อสัปดาห์ มาจัดซื้อจัดจ้างเอง โดยไม่มีใบเสร็จรับเงิน
นอกจากนี้พบว่า มีการใช้เงินจริง 50,000 บาท ส่วนอีก 10,000 บาท ไม่สามารถชี้แจงได้ !!
ที่สำคัญครูชัยยศยังเซ็นต์รับรองเอกสารเท็จ ทั้ง ๆ ที่มีหน้าที่ตรวจสอบ เท่ากับปล่อยปละละเลย ผิดมาตรา 157 แม้ว่า ครูชัยยศ ไม่ได้ยักยอก ไม่มีส่วนรู้เห็น แต่มีครูอีกรายเบิกเงินส่วนต่าง จึงมีส่วนในการให้ผู้อื่นกระทำผิด
นายภูเทพ ทวีโชติธนกุล ผู้ช่วยเลขาธิการฯ รักษาการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักงาน ป.ป.ช. และรองโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เผยข้อมูลผ่านรายการดังบอกว่า เงินที่จะต้องให้ทางโรงเรียนนั้น มาจากทาง สพฐ. มีงบประมาณมา ผอ. มีหน้าที่ต้องดูแล ซึ่งเรื่องการใช้งบต้องทำเป็นโครงการ แต่กลับทำเป็นการยืมเงินออกมาเพื่อจัดหาอาหารให้กับนักเรียนชั้นประถม ไปทำตามขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้างก็จบ แต่ทางครูบุณยนุช กลับไปทำเป็นการยืมเงิน 60,000 บาททุกสัปดาห์ ปรากฏว่าซื้อจริงมาแค่ 48,500 บาท เท่ากับมีเงินหายไป
ในตอนแรกมีผู้ร้องเรียนเข้ามาที่ ป.ป.ช. ว่าเด็กไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ทาง ป.ป.ช. ก็เข้าไปตรวจสอบในปี 2563 เมื่อดูเอกสารจึงพบเห็นข้อพิรุธ คือมีการส่งอาหารสัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่กลับมีการตรวจรับถึงวันละ 3 รอบ เป็นการตรวจรับของ ครูชัยยศ และ ครูจิราพรรณ
“เรื่องตรวจรับก่อน เขาเอาอาหารสดอาหารแห้งมาส่งในวันจันทร์ ทุกสัปดาห์ มาส่งครั้งเดียว คุณครูมีหน้าที่ตรวจ แต่คุณครูตรวจอย่างไร มีการตรวจรับทุกวัน วันนึงมีการตรวจรับ 3 ฉบับ ซึ่งมันผิดปกติ ต้องตรวจแค่ 1 ครั้งเท่านั้น เอกสารคุณครูมีถึง 3 ฉบับ มันขัดแย้งกับข้อเท็จจริง”
ทั้งนี้ ป.ป.ช. ลงไปหลังจากเกิดเรื่อง 1-2 ปี ป.ป.ช. ไปไล่ตรวจจากเอกสารและพยานที่เกี่ยวข้อง สอบคนหาอาหารสด อาหารแห้ง ได้ข้อมูลมาว่า ต้องซื้อในวงเงิน 48,500 บาท เพราะครูบุณยนุชบอกว่าอย่าซื้อเกิน แล้วก็ไม่ต้องขอใบเสร็จ ซึ่งมันผิดระเบียบและขั้นตอนทุกอย่าง ซึ่ง ประเด็น ครูชัยยศ ถ้าคุณครูไม่เซ็นรับรองข้อเท็จจริงในส่วนนี้ ครูบุณยนุช ก็ไม่สามารถนำเอกสารไปเบิกเงิน 60,000 บาทได้ การตรวจรับจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เปิดใจ “ครูชัยยศ” ไม่รู้งานเอกสาร เชื่อใจจนเกิดเรื่อง
คุณครูชัยยศ เปิดใจถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ยอมรับว่า ไม่รู้ขั้นตอนหรือระเบียบกับการบิกจ่าย หรืองานเอกสารมากนัก ซึ่งหากรู้ก็คงไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ยืนยันว่าการคิดทุจริตไม่เคยมีในสมอง
ครูชัยยศ เปิดใจว่า การปลดออกจากราชการ เพราะแบ่งอาหารไปให้เด็กนักเรียนบชั้นมัธยมต้น ไม่เป็นความจริง จริงๆ แล้วเกิดจากชาวบ้านเดินขบวน อยากให้ทาง "ผอ.จรัส" และ "ครูบุณยนุช" โยกย้ายออกจากพื้นที่ และด้วยความที่เราอยู่มานาน เขาก็ให้ผมเป็นรักษาการผู้อำนวยการ เมื่ออยู่ไปไม่นานทาง ป.ป.ช. ก็เข้ามา
“เรื่องเงินต่างๆ ผมไม่ทราบเลย ผมเป็นแค่คนตรวจรับของอาหารกลางวันของเด็ก เมื่อของมาส่ง ก็ดูว่ามันมีไหม ก็เซ็นรับของไป โดยที่มองดูนับจากภายนอกว่าครบ แต่ไม่ได้ยกดูภายในว่าครบไหม อีกทั้งในเอกสารยังมีการเซ็นชื่อของครูบุณยนุช แล้ว จึงเข้าใจว่าตัวเองไม่เกี่ยวการเงิน เขาจะซื้อมาเท่าไหร่ เราก็ไม่รู้ รู้แค่ว่านับจำนวนของให้ตรงเท่านั้น จะให้ผมไปทุจริตต่ออาชีพตัวเอง ผมไม่ทำแน่นอน”
ส่วนปัญหางานเอกสารเซ็นรับมากถึง 3 ครั้งนั้น ครูชัยยศ อธิบายว่า การเซ็นรับมันเป็นลอตใหญ่ ด้วยความเชื่อใจและไม่เข้าใจเรื่องเอกสาร ไม่คิดว่าเกี่ยวข้องกับเงิน คิดว่าเกี่ยวข้องกับรายการอาหารเท่านั้น ความรู้พื้นฐานในตรงนี้ไม่มีเลย พูดตามความเป็นจริง ถ้ารู้ว่าเอกสารมันไม่ถูกต้อง ก็ไม่เซ็น แต่ด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจจึงเซ็นชื่อลงไป
ครูสมยศ ตั้งคำถามกลับที่น่าสนใจด้วยว่า ระบบราชการถ้าเราไม่อยากทำตรงนี้ ก็ทำหนังสือแจ้งไป แต่ในความเป็นจริง ถ้าเราไม่ทำแล้วเราจะอยู่ตรงนั้นได้ไหม? ไม่ได้หรอกครับ เพราะเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
“เข้าใจว่าตัวเรานี้ยังไม่มีความผิด ทุกวันนี้เหมือนฝัน แต่ในด้านหนังสือ ด้านกฎหมายนั้นชี้ว่าเราผิด ก็อยากจะขอความยุติธรรมว่าให้ตรวจอะไรให้ละเอียด มองเห็นเจตนาของคน มันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเจตนาทุจริต ทำตามหน้าที่ ตามคำสั่งเท่านั้น” ครูชัยยศ กล่าวทิ้งท้าย
บทสรุป "ครูชัยยศ" จะลงเอยอย่างไร?
กรณีดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาข้อมูลแล้วมีมติ ดังนี้
เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีครูชัยยศ ว่า เมื่อคดีพบว่ามีมูล พบการเบิกเงินทดลองจ่าย 60,000 บาทต่อสัปดาห์ มาจัดซื้อจัดจ้างเอง โดยไม่มีใบเสร็จรับเงิน และพบใช้เงินจริงไม่ถึงที่เบิกจ่าย ไม่สามารถชี้แจงได้ ที่สำคัญครูชัยยศยังเซ็นต์รับรองเอกสารเท็จ ทั้ง ๆ ที่มีหน้าที่ตรวจสอบ เท่ากับปล่อยปละละเลย ผิดมาตรา 157
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่เริ่มเห็นพฤติกรรมที่ชัดเจนมากขึ้น คาดว่าครูชัยยศไม่ได้ยักยอก ไม่มีส่วนรู้เห็น แต่มีครูอีกรายเบิกเงินส่วนต่างไป ดังนั้นก็ต้องต่อมู้ตามกระบวนการต่อไป
ทั้งนี้ ครูชัยยศ ยังคงมีความหวัง ในการต่อสู้ในชั้นศาลหากอัยการสั่งฟ้อง ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ศาลพิจารณา รวมถึงคำสั่งปลดออกจากราชการ ก็ยื่นร้องศาลปกครองให้ระงับได้
บทสรุปของ "ครูชัยยศ" จึงยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเป็นอย่างยิ่ง!!