svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

08 พฤศจิกายน 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

อัปเดตข่าวหมอดัง คุณหมอกฤตไท หรือ หมอไทคนเดิม เจ้าของเพจสู้ดิวะ ผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะที่ 4 เผยภาพล่าสุด หลังก่อนหน้านี้ส่งโพสต์แจ้งข่าวเศร้าก่อนหน้านี้ "ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน"

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

ยังคงเป็นกระแสข่าวที่บรรดาชาวเน็ต ชาวโซเชียลและแฟนเพจ สู้ดิวะ ติดตาม พร้อมๆกับแห่งส่งกำลังใจกันอย่างท่วมท้น สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ทางด้าน "หมอกฤตไท" เจ้าของเพจ "สู้ดิวะ" ได้ออกมาเปิดเผยว่า ตนเองนั้นป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ทั้งที่เป็นคนออกกำลังกาย และมั่นใจว่า ร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด มีหน้าที่การงาน อาชีพที่เรียกที่ดี และกำลังจะซื้อบ้านและกำลังจะแต่งงานมีครอบครัว!! 

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

ในโพสต์ล่าสุด ก่อนหน้านี้ หมอกฤตไท อัปเดตข้อความระบุว่า.. 

"อาการไม่ค่อยดี มะเร็งมีการลุกลามไปทั่วร่างกาย ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนเก่า"

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

ต่อมามีอีกโพสต์ 

หมอกฤตไท โพสต์ใจความระว่า...

ผมคง อยู่ได้อีกไม่นานแล้วครับ
ใครมีอะไรอยากพูดอยากบอกผม
เชิญได้เลยครับ
ผมน่าจะไปช่วงกลางเดือนหน้า
จากนั้นไว้เจอกันใหม่นะครับ
ณ ตอนนี้ผมพิมพ์ได้เท่านี้ก็เอาละครับ
ขอบคุณสำหรับทุกอย่างตลอดช่วง 30 ที่ผ่านมาครับ
ขอโทษถ้าผมทำให้ใครไม่พอใจ

...

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

ผมคงไม่ได้ไปดู NBA
ผมคงไม่ทันได้เข้าไปอยู่ในบ้าน อรสิริน Belive

คงไม่ทันได้เจอพี่เพียวอีก
จากนี้ฝากบ้าน ฝากพีม ฝากครอบครัวด้วยนะครับ
ขอบคุณจากใจให้กับทุกคนที่ช่วยดูแลด้วยครับ

ทุกคำ ทุกประโยคซึ้งมาก!! 
เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2566 เพจสู้ดิวะ ของคุณหมอกฤตไท ได้แชร์โมเมนต์สุดซึ้ง บรรยากาศในวันแต่งงานกับ คุณพีม ที่ถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา บรรยากศภายในงานนั้นอบอวลไปด้วยความรัก ความอบอุ่น ความสุข ความยินดี ความปรารถนาดีที่ถูกส่งไปหายังคู่บ่าวสาว มีญาติ ๆ ครอบครัว และเพื่อนสนิทที่เดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานให้กับความรักของทั้งสองคน ภายในงาน ประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากสีสันในโทสพลาสเทล ที่ดูแล้วสดชื่นมากๆ 

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน
ในช่วงหนึ่งของพิธีแต่งงาน ยังได้มีการทำเซอร์ไพรส์ให้เจ้าบ่าว เจ้าสาว ได้พูดเปิดใจกัน ซึ่งคุณหมอก็พูดขำ ๆ ว่า เพิ่งจะรู้
เหมือนกัน แล้วคุณหมอสุดหล่อ นพ.กฤตไท ก็พูดขึ้นว่า

"การที่มันมีฝนมา มันทำให้ร่มมีความหมาย

มันทำให้เราเข้าใจว่าทำไมเราต้องถือร่มวะ ทำไม

เราต้องดูแลร่ม 

ทำไมเราต้องพกร่มออกไป

เพื่อให้ถ้าฝนมันตก

เราก็จะค่อนข้างมั่นใจว่าเราจะไม่เปียก

การที่เธออยู่ข้างเค้า

มันทำให้เค้ามีความหมายมากขึ้นจริง ๆ นะ

แล้วก็ไอ้สิ่งนี้แหละ

ไอ้การที่เธอทำให้ชีวิตเค้ามีความหมายเนี่ยแหละ มันสำคัญมากเลย"

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน ขอขอบคุณที่มา : สู้ดิวะ , The Happy Moment : A happy wedding planner in Chiang Mai
เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

ล่าสุดเมื่อวานนี้ 
7 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา หมอกฤตไท ได้โพสต์ภาพตัวเอง ขณะนอนอยู่บนเตียงโรงพบาบาล และถือหนังสือ "สู้ดิวะ" 
ซึ่งก็มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นและให้กำลังใจเป็นจำนวนมากในขณะนี้

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

ขอขอบคุณที่มา : Krittai Tanasombatkul 

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

ปิดท้ายกับ 

จดหมายถึงหมอกฤตไท: “สู้ ดิว่ะ”

อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์

.

หมอครับ หมอบอกว่าใครมีอะไรอยากจะบอกหมอ ให้บอกมาเลย เพราะหมอคงมีเวลาอีกไม่นานนัก ผมจึงขอเขียนจดหมายน้อยมาถึงหมอนะครับ

.

ก่อนอื่น ขอขอบคุณอย่างมากนะครับสำหรับหนังสือที่มีค่าที่หมอได้เขียน ผมได้รับเสมือนเป็นของขวัญจากลูกสาว และผมก็อ่านจบภายในเวลาไม่นานนัก สิ่งที่ผมอยากจะบอกหมอจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนังสือของหมอครับ

.

เมื่อหมอเผชิญกับปัญหาสุขภาพ คำถามที่ผุดขึ้นมาก็เป็นเช่นคนทุกคน ก็คือ “ทำไมเป็นเรา” (why me) แต่คำตอบที่หมอให้แก่ตัวเองกลับแตกต่างไปจากปรกติทั่วไป หมอได้ตัดสินใจที่จะเขียนเรื่องการเผชิญหน้ากับปัญหาสุขภาพด้วยการอธิบายเรื่องโรคภัย การรักษาพยาบาล และชีวิตของหมอ โดยสอดแทรกความคิดที่เป็นเสมือนการให้กำลังใจแก่คนอ่านด้วยกรอบการอธิบายที่ทำให้เห็น “ความเป็นธรรมดา” ของชีวิต

.

หมอได้เล่า/อธิบายเรื่อง “ส่วนตัว” ของหมอด้วยการถอยตัวเองออกจาก “ตัวเอง” และมองไปที่กระบวนการของชีวิตที่เผชิญกับโรคร้าย การถอยตัวเองจาก “ตัวเอง” จึงทำให้ในงานเขียนของหมอไม่มี “ความฟูมฟาย” ให้รันทดแม้ว่าจะรู้สึกไปกับโชคชะตาที่ผลิกผันเหมือนกับการกลั่นแกล้งก็ตาม

.

การที่หมอสามารถถอย/ถอนตัวเองจาก “ตัวเอง” ได้ ก็น่าจะเกิดจากพื้นฐานทางอารมณ์ความรู้สึกที่ก่อรูปมาเป็นชีวิตของหมอ เห็นได้ว่าหมอเป็นคนที่ “ใส่ใจ/ใส่หัวใจ” ให้คนอื่นมาโดยตลอด จากการตัดสินใจที่จะเรียนหมอเพราะรู้สึกว่าทำไมหนอตนเองไม่สามารถจะดูอาม่าที่เจ็บป่วยได้ จากการเล่น/ทำทีมกีฬา ซึ่งต้องคำนึงถึงเพื่อนร่วมทีม ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เทคนิคการเล่น หากรวมไปถึงการดูแลทางอารมณ์ความรู้สึก การตัดสินใจว่าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับรุ่นน้องสวนกุหลาบ การเชื่อมโยงปัญหาฝุ่นละอองกับชีวิตของผู้คนในฐานะมนุษย์และพลเมือง

.

การ “ใส่ใจ/ใส่หัวใจ” ให้คนอื่นทำให้หมอได้ข้อสรุปของชีวิตว่า “เราเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง” ที่ได้มีโอกาสทำงานที่รู้สึกว่ามีคุณค่าต่อผู้อื่น การลงทุนต่อตัวเองของหมอจึงไม่ใช่เพื่อ “ตัวเอง” เท่านั้น หากแต่เป็นการลงทุนเพื่อคนรอบข้างที่กว้างใหญ่มากขึ้นตามกาลเวลา ดังที่หมอได้เขียนไว้ว่า “การทำกิจกรรมเหล่านี้ ทำให้ได้รู้สึกว่ามีบางส่วนของชีวิตที่เราพอจะพยายามเพื่อเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของมันได้อยู่บ้าง”

.

หมอครับ ชีวิตและงานเขียนของหมอได้ทำให้คนอ่านและสังคมไทยได้มองเห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกชุดหนึ่งที่เรียกได้ว่า “ความเห็นอกเห็นใจเชิงสังคม” (social empathy) ที่ก่อเกิดขึ้นจาก “ความเห็นอกเห็นใจส่วนบุคคล” (sympathy) ความรู้สึกชุดนี้เบ่งบานในหัวใจของหมออย่างหนักแน่นและแจ่มชัดครับ

.

ผมขอเรียนหมอว่า สิ่งที่หมอได้ทำและได้บอกกับพวกเราครับ คือ สิ่งที่สังคมไทยต้องการมากที่สุดในวันนี้และในช่วงเวลานี้ คงไม่ใช่เพียงแค่ “คงจะดีมาก ถ้าชีวิตที่สั้นลงของผมสามารถเป็นกำลังใจและเป็นพลังชีวิตให้กับคนที่มีชีวิตอยู่” เท่านั้น หากแต่หมอบอกกับสังคมไทยโดยรวมว่า “การคิดถึงคนอื่น ใส่ใจ/ใส่หัวใจ ให้กับคนอื่น” นั้นมีความหมาย มีคุณค่ายิ่งต่อทุกคนในสังคม

.

ขอขอบคุณหมออย่างมาก

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

สู้ดิวะ…

เป็นคำที่หลายคนมักใช้ในการให้กำลังใจ

ไม่ว่าจะให้กับใคร หรือให้กับตัวเอง

สู้ดิวะ…

เป็นคำที่อยากบอกกับคนๆหนึ่งที่ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่อยากให้กำลังใจกับเขา ให้สู้ต่อไป

“สู้ดิวะ”

คือ ชื่อหนังสือเล่มหนึ่งที่ถ่ายทอดเรื่องราวของชายหนุ่ม นายแพทย์หนุ่ม ที่ชื่อ “กฤตไท”

ว่าด้วยช่วงชีวิตของคุณหมอที่เหมือนคนทั่วๆไป แต่ชีวิตส่งบททดสอบที่สุดแสนท้าทาย ให้เขาได้เรียนรู้ “ความหมายของชีวิต”

หนังสือเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่ง

ที่อ่านแล้วได้ข้อคิด ให้เราตระหนักถึงช่วงเวลาสำคัญในชีวิตหลายๆ เรื่อง และอยากหยิบ 5 ประโยคสำคัญที่ได้จากหนังสือมาเตือนใจตัวเอง

“…ความสุขไม่ได้อยู่ที่ปลายทางถ้าเกิดเกิดขึ้นระหว่างทางที่เราเดินไป…”

- เรามีความสุขได้ในทุกวัน ระหว่างเดินไปยังเป้าหมาย

- เรามีความสุขได้ แม้ชีวิตเราจะเรียบง่ายและแสนธรรมดา

- เราสามารถเก็บเกี่ยวความสุขไม่ว่าเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่ ที่เรามีในทุกๆวัน

“…ปล่อยวางอดีต แล้วอยู่กับปัจจุบันตรงหน้ามันเกิดขึ้นแล้วไม่ว่าเพราะอะไรมันเกิดขึ้นแล้วยอมรับมันแล้วไปกันต่อ…”

- สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดีเสมอ

- สนุกกับทุกช่วงเวลาของชีวิต

- ปัจจุบันขณะเป็นของขวัญให้เรารู้สึกว่าทุกช่วงเวลาล้วนสำคัญ

- ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมีเหตุผลของมัน

- ใช้ชีวิตในทุกวันอย่างเข้าใจ

”…ถ้าเรายอมรับอย่างจริงใจได้ว่า “เราต้องตายนะเว้ย สุดท้ายเราจะตาย และมันอาจเป็นวันนี้ก็ได้” มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนมุมมองต่อชีวิตที่สำคัญมากครั้งหนึ่ง…“

- ใช้ชีวิตให้สนุกและมีสุขภาพที่แข็งแรง

- มีชีวิตแต่ละวันนับไปข้างหน้า

- มองจากจุดที่ยืนในปัจจุบันว่ายังเหลือเวลาแห่งความสุขอีกตั้งเท่าไหร่ให้เราตักตวง

- คิดถึงวันสุดท้ายแล้วมองย้อนกลับว่าก่อนจะถึงวันนั้นเราอยากทำอะไรอยากให้คนจดจำเราแบบไหนแบบไหน

- สร้างเหตุที่ดีเพื่อไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี

“… ความสงบคือความสุขได้เรียนรู้ว่าชีวิตที่เรียบง่ายคือชีวิตที่คุ้มค่าได้เรียนรู้ว่าชีวิตธรรมดาคือชีวิตที่มีความหมาย…”

- เลิกให้ความสำคัญกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ

- อยู่กับจุดของแต่ละวันให้เต็มที่ที่สุด

- ชีวิตไม่ใช่เส้นแต่เป็นจุดเป็นตัวแทนของแต่ละวัน

- ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีความหมาย

- มีเหตุผลในทุกการตัดสินใจของชีวิต

“… เรามีเวลาจำกัดเวลาเราไม่ได้มีมากพอให้เราไปทำหรือมีทุกอย่างในโลก…”

- เลือกปฏิเสธสิ่งที่คุณไม่ต้องการ

- อย่าใช้เวลาของคุณเพื่อความฝันของคนอื่น

- ชีวิตไม่ได้ยาวนานพอที่จะอยู่อย่างฝืนทน

- ดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตให้ดี

- เต็มที่กับทุกสิ่งใช้ชีวิตเหมือนเป็นวันสุดท้าย

- หาเหตุผลในการมีชีวิตของเราให้เจอ

ขอบคุณที่ส่งต่อเรื่องราวดีๆ ให้เราได้อ่าน แม้เราจะไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่เรื่องราวของนาย จะอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป

ขอส่งกำลังใจให้คุณหมอกฤษไท ธนสมบัติกุล Krittai Tanasombatkul เจ้าของเพจ สู้ดิวะ

เผื่อนายมีโอกาสได้ผ่านมาเห็นข้อความนี้ เราอยากบอกนายว่านายเก่งมาก เก่งมากๆเลย ขอเป็นอีกหนึ่งแรงใจให้นายสู้ต่อไป อย่ายอมแพ้นะ

สู้ๆ นะ #สู้ดิวะ นายทำได้

#Respect ครับ

เล่มที่ 120 ปี 2023

ระดับความชอบ :

เป็น 1 ใน Top 5 ที่ได้อ่านแล้วชอบสุดของปีนี้

#สรุปไปเรื่อย

(-/|\-)

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

หมอกฤตไท ต่อสู้มะเร็งปอดระยะสุดท้าย ฝากข้อคิดดีๆ ให้รุ่นน้อง "ทำวันนี้ให้มีความสุข"

ย้อนไปส่องโพสต์สุดซึ้ง จากใจพี่ถึงน้อง  

นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล อาจารย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อายุ 28 ปี ผู้ก่อตั้งเพจ “สู้ดิวะ” โพสต์ข้อความอีกครั้งระบุว่า

สวัสดีครับ

มีเรื่องมาแชร์อีกแล้วครับ ในวันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ผมได้รับโอกาสที่สำคัญมากๆ ในการไปพูดคุยกับน้องสวนกุหลาบรุ่น 141  ในวันจากเหย้า หรือวันสุดท้ายของการเป็นนักเรียนมัธยมปลายของน้องสวนกุหลาบ โอเค บรีฟที่ผมได้รับคือให้แนะนำ “วิธีคิดของเราที่จะทำให้น้องเข้าใจตัวเอง และพร้อมเจอกับโลกมากขึ้น” เอาล่ะ ยากมากเลยทีเดียว

ปกติขึ้นเวที ก็จะขึ้นไปสอน มีวัตถุประสงค์การสอนที่ชัดเจน แต่คราวนี้ต้องมาพูดเรื่องตัวเองต่อหน้าชายหนุ่มกว่าห้าร้อยชีวิตที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ชีวิตมหาลัยและการทำงาน พบว่าสิ่งที่ผมจะแนะนำตัวเองในสิบปีที่แล้วเพื่อหวังว่าจะใช้ชีวิตได้ดีขึ้นเนี่ย ส่วนใหญ่มันไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับสิ่งที่น้องจะเอาไปใช้ในสิบปีข้างหน้าของน้องได้เลย เพราะสิบปีที่น้องกำลังจะเจอมันมีความแตกต่างจากสิบปีที่ผ่านมาเยอะมากๆ  อย่างน้อยสมัยผมเรียนก็ไม่มี ChatGPT และตอนเข้ามหาลัยก็ไม่ใช่ทุกคนมี smart phone ใช้ ที่สำคัญสุดๆคือ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เรียนรู้มา มันไม่ได้แปลว่ามันจะเหมาะกับชีวิตที่น้องกำลังจะสร้างขึ้นมาเลย นั่งคิดนอนคิดยังไง ก็ไม่กล้าจะไปแนะนำอะไรน้องเลยครับ แต่ผมก็ถูกเชิญมาแล้ว ผมจึงใช้โอกาสนี้ เล่าเรื่องชีวิตตัวเองให้ฟังแล้วกัน ว่าสิบปีที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง วันนี้จะลองสรุปเนื้อหาบางส่วนที่พูดคุยกับน้องสวนกุหลาบ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับท่านอื่นๆครับ

“สวัสดีครับน้อง 141 พี่เองจบสวนกุหลาบรุ่น 131 ครับ สิบปีแล้วครับ สิบปีที่จบจากโรงเรียนนี้ไป ตอนนั้น วันจากเหย้าของพี่ตรงกับวันสัมภาษณ์แพทย์เชียงใหม่ งานจากเหย้าจึงเป็นงานเดียวในชีวิตสวนกุหลาบที่พี่ไม่ได้เข้าร่วม ดังนั้นการได้รับเกียรติได้มาอยู่ในห้องประชุมในวันนี้ก็ถือเป็นการเติมเต็มชีวิตพี่เหมือนกัน พี่ขอใช้เวลาในช่วงแรกไปกับการชวนน้องมาดูสิบปีที่ผ่านมาของพี่แบบเร็วๆก่อนแล้วกัน หลังจากจบจากสวนกุหลาบ พี่ก็ได้มาเริ่มใช้ชีวิตที่เชียงใหม่ เริ่มด้วยชีวิตการเป็นนักศึกษาแพทย์ ซึ่งในส่วนของชีวิตการเรียนหมอเนี่ย ถึงจะเหนื่อยและดูมีเรื่องราวเยอะ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ที่มันดูมีสีสันกว่าคือการที่ได้อยู่ในชมรมบาสเกตบอล เพราะมันคือกลุ่มนักศึกษาแพทย์ที่ยังต้องสอบต้องเป็นหมอให้ได้ตามมาตรฐานวิชาชีพ แต่ก็ยังจะแบ่งเวลาจำนวนมากในชีวิตมาซ้อมบาสอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อหวังว่าจะเป็นที่หนึ่งในการแข่งบาสระหว่างนักศึกษาแพทย์ด้วยกัน

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

โอเคพี่ก็เรียนจบแพทยศาสตร์บัณฑิต ได้แชมป์บาสเกตบอลกีฬาเข็มสัมพันธ์ อะไรที่นักศึกษาสักคนนึงจะทำได้ก็ได้ทำหมดแล้วหลังจากเรียนจบก็เป็นหมอ เรียนต่อเฉพาะทาง ระหว่างเรียนเฉพาะทางก็ไปเรียนปริญญาโทวิทยาการข้อมูลอีกใบคู่กันไป

และมาถึงจุดนี้ เรียนจบหมดทุกอย่างแล้วได้ใบปริญญามาเต็มบ้าน แล้วก็มาสมัครเป็นอาจารย์แพทย์ต่อ พี่คุกเข่าขอแฟนแต่งงานแล้วครับ แล้วก็กำลังจะไปเรียนคอร์สสั้นๆที่สวิสเซอร์แลนด์ปลายปีนี้ พี่มีคนรอบตัวที่พร้อมสนับสนุน มีการวางแผนการเงินที่รัดกุม และหน้าที่การงานที่แสนมั่นคง ชีวิตโคตรตรงไปตรงมาเลยครับ ตามตำราชีวิตที่แม่จะเอาไปอวดป้าข้างบ้านได้สบายๆ แล้วพี่ก็เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายครับ

จากที่น้องเห็นก้อนในปอดที่มีขนาดใหญ่พอๆกับหัวใจพี่ และก้อนในหัวที่ใหญ่พอๆกับลูกตาพี่ ไม่น่าเชื่อว่า น้องในห้องที่ไม่ใช่นักศึกษาแพทย์จะสามารถรับรู้ถึงความรุนแรงของโรคได้ จากชีวิตของคนๆหนึ่งที่น้องได้ตามดูตลอดการเล่าเรื่องของพี่ ชีวิตที่ดูจะมีแต่ความเป็นไปได้ไม่จำกัด ชีวิตที่เคยคิดว่าเราจะสามารถทำทุกอย่างที่เราอยากทำได้ สามารถบริหารจัดการชีวิตตัวเองเพื่อมุ่งหน้าสู่เป้าหมายได้อย่างเต็มที่ ร่างกายที่ผ่านการดูแลอย่างยอดเยี่ยมก็ยังมาป่วยเป็นโรคร้ายแบบนี้

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

จากวันนั้น พี่เอง ได้เรียนรู้เรื่องที่ยิ่งใหญ่แต่เรียบง่ายมากๆ ว่า “เรามีเวลาจำกัด” ก่อนหน้านี้พี่เอาใจไปคิดว่าชีวิตเราจะอยู่ไปได้อีกนาน มุมมองต่อเวลาที่มีคือ คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็มีเวลาเท่ากับเรา ดังนั้นเราต้องทุ่มเทเวลาไปกับการใช้ชีวิตให้ไปถึงความสำเร็จ ต้องบริหารเวลาให้ทำได้ทุกอย่างตามที่เราต้องการ

แต่ที่จริง เวลาในชีวิตเรามีจำกัด  และแม้ว่าเราจะสามารถมีแทบทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่เราไม่สามารถมีทุกสิ่งทุกอย่างได้ครับ

เราต้องเลือกบางสิ่ง และยอมสละหลายสิ่งที่เราไม่ได้เลือกไปเสมอเป็นความจริงที่ตรงไปตรงมามาก ว่า

“เวลาเราไม่ได้มีมากพอให้เราไปทำหรือมีทุกอย่างในโลก”

อย่างการที่น้องเป็นนักเรียนสวนกุหลาบ คือน้องเลือกที่จะไม่ไปเรียนมัธยมที่อื่น

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

การที่น้องเลือกคบแฟนคนนี้ คือน้องยอมสละโอกาสที่จะได้เจอคนอื่นๆ การที่น้องเลือก ใช้ชีวิตในวันนี้แบบนี้ เป็นการที่น้องเสียโอกาสที่จะใช้มันไปแบบอื่น สิ่งที่น้องเลือกมาแล้ว มันจึงเป็นสิ่งที่พิเศษและสำคัญมากๆ เพราะน้องกำลังสละหลายสิ่งเพื่อให้ได้สิ่งนี้มา

เพราะงั้น สิ่งที่อยู่ตรงหน้าน้อง ณ ตอนนี้ ในช่วงเวลานี้ มันจึงเป็นสิ่งที่พิเศษที่สุด วันนี้ของน้องเป็นสิ่งเดียวที่น้องมี พี่เชื่อว่าชีวิตเราไม่ใช่เส้น แต่เป็นจุดครับ จุดที่เป็นตัวแทนของแต่ละวัน สุดท้ายจุดของน้องจะต่อกันเป็นเส้นยังไงไม่มีใครรู้ แต่เรามีหน้าที่แค่อยู่กับจุดของแต่ละวันให้เต็มที่ที่สุดครับ

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

โอเค น้องอาจจะวางแผนอนาคต ซึ่งพี่ก็ทำแบบนั้น แต่ที่พี่เปลี่ยนไปหลังจากป่วยคือ พี่ให้ความสำคัญกับวันนี้ของพี่มากๆ เพราะเอาจริงพี่ไม่รู้หรอกว่าไอ้แผนที่พี่วางไว้ พี่จะตายก่อนไปถึงแผนนั้นหรือเปล่า ดังนั้นพี่จึงให้ความสำคัญกับคนตรงหน้า พี่ไม่ได้กินข้าวไปแล้วคิดว่าจะไปทำอะไรต่อ พี่ไม่ได้ยกมือถือมาถ่ายทุกอย่างเพื่อหวังว่าจะกลับมาดูทีหลัง  พี่ไม่ได้เอาแต่รอวันที่ประสบความสำเร็จแล้วค่อยมีความสุข แต่พี่มีความสุขกับวันนี้เลย  มีความสุขกับเพื่อนพี่ ที่มานั่งฟังพี่อยู่หลังห้องนั้น เพื่อนสวนกุหลาบที่ไม่ได้เจอกันมาสิบปี

สิบปีที่ไม่มีอะไรการันตีว่าเราจะกลับมาเจอกันอีก พี่โชคดีขนาดไหนที่โรคมะเร็งยังไม่เอาชีวิตพี่ไป พี่ไม่ตายในห้องผ่าตัด ไม่ตายตอนได้รับเคมีบำบัด หรือการที่พี่ยังสามารถคงความเป็นตัวเองได้แบบนี้ มันโคตรโชคดีเลย แล้วพี่ก็ไม่รู้ด้วยว่า หลังจากวันนี้ที่พี่เจอเพื่อนพี่แล้ว พี่จะได้มีโอกาสกลับมาเจอพวกมันอีกไหม

มื้อเย็นนี้มันอาจเป็นการกินข้าวกับเพื่อนสวนกุหลาบครั้งสุดท้ายของพี่แล้วก็ได้ ซึ่ง งานเลี้ยงจากเหย้าเย็นนี้ของน้อง ก็ไม่ต่างกัน ช่วงเวลาหกปีที่น้องเลือกมาอยู่ในรั้วสวนกุหลาบกับเพื่อนๆของน้องมันมีคุณค่ามาก และการที่วันนี้เพื่อนๆน้องยังมาอยู่ข้างน้องได้ น้องกำลังจะลงไปร่วมงานเลี้ยง ร่วมร้องเพลงกัน ไปล้อมวงจุดเทียนพูดคุยกัน มันพิเศษมากๆครับน้อง มันพิเศษมาก และน้องไม่มีทางรู้เลยว่าน้องจะได้มีโอกาสกลับมาเจอเพื่อนอีกไหม

เพราะงั้น พี่หวังว่า น้องใช้ช่วงเวลาตรงหน้าน้องอย่างเต็มที่ที่สุด เห็นความสำคัญของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าน้อง คนที่น้องกำลังคุยด้วย มื้ออาหารที่น้องกำลังกิน เพลงที่น้องกำลังร้อง และเพื่อนที่น้องกำลังกอดคอร้องไห้กัน เพราะน้องโชคดีที่ชีวิตยังมอบวันนี้ให้กับน้อง และน้องไม่มีทางรู้ว่ามันจะเป็นวันสุดท้ายแล้วหรือยัง ขอให้สิบปีต่อจากนี้ของน้อง เป็นช่วงเวลาที่น้องเต็มที่กับทุกโมเม้นตรงหน้า แล้วถ้าวันหนึ่งเวลาของน้องหมดลง น้องจะไม่เสียใจหรือเสียดายกับชีวิตที่น้องได้ใช้ไปครับ”

นี่คือส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่ผมพูดกับน้องในวันนั้นครับ คงไม่สามารถเล่าความประทับใจ หรือเล่าว่าพูดอะไรไปได้ทั้งหมด บรรยากาศที่เกิดขึ้นในหอประชุมนั้นมันไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้จริงๆ ทั้งสนุกและมีพลังมากๆ หลังพูดเสร็จน้องยกมือถามเยอะกว่าเวลาผมไปสอนหนังสือเยอะเลย แล้วคำถามก็น่าสนใจด้วยครับ ขอบคุณน้องที่ตั้งใจฟัง และขอบคุณอาจารย์สวนกุหลาบที่ให้โอกาสไปพูดกับน้องๆครับ

การได้มาพูดคุยกับน้องนี่เป็นเรื่องที่เกินความคาดหวังของชีวิตผมไปมากๆ หนึ่งชั่วโมงที่อยู่บนเวทีนี้ มีคุณค่ากับผมมากจริงๆและมันอาจจะเป็นเวทีสุดท้ายของผมแล้วก็ได้ ผมไม่มีทางรู้ว่าพรุ่งนี้ผมจะตื่นมาแล้วยังปกติแบบนี้ไหม ผมอาจจะไม่สามารถพูดอะไรแบบนี้ได้แล้ว  และผมอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยมาพูดงานนี้

แต่ในขณะที่ชีวิตยังให้โอกาสผมปกติมากพอที่จะไปพูดกับน้อง รวมถึงการที่ผมยังสามารถมาเขียนโพสต์นี้ได้ ผมว่า วันนี้ผมโคตรโชคดีเลยครับ ขอให้ทุกคนมี ‘วันนี้’ ที่มีความสุขครับ

ขอขอบคุณที่มา : Krittai Tanasombatkul 

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

ย้อนเส้นทาง "หมอกฤตไท" ต่อสู้กับโรคมะเร็งปอด 

ตุลาคม 2565
"หมอกฤตไท" ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดที่มีการลุกลามไปสมอง เข้ารับการผ่าตัด รับการตรวจทั้งร่างกาย รับยาเคมีบำบัด และรับการฉายแสง

พฤศจิกายน 2565
"หมอกฤตไท" ตั้งใจปิดเพจ "สู้ดิวะ" เพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ซึ่งขณะนั้นการรักษาโรคมะเร็ง ทำให้มีอาการผม และขนร่วงทั้งร่างกาย

ธันวาคม 2565
"หมอกฤตไท" ครบ 3 เดือนของการรักษามะเร็ง ผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์พบว่าก้อนที่ปอดมีขนาดเล็กลง และมะเร็งไม่มีการกระจายไปที่อวัยวะอื่นเพิ่มเติม ตัวโรคในภาพรวมยังคงสงบ แต่มะเร็งที่สมองยังไม่สามารถควบคุมได้ เนื่องจากยาที่ได้รับสามารถผ่านเข้าสมองได้เพียงเล็กน้อย

มกราคม 2566
"หมอกฤตไท" มีอาการดีขึ้น สามารถออกกำลังกายได้แทบเป็นปกติ สามารถเล่นบาสเกตบอล ปั่นจักรยาน สามารถกลับไปทำงาน และสอนนักศึกษาได้

กุมภาพันธ์ 2566
ผลการฉายแสงในสมองพบว่า ก้อนที่ฉายแสงยุบลง แต่พบก้อนใหม่เพิ่มขึ้นมา 3 ก้อน และหลังจากนั้นตรวจพบก้อนในสมองเพิ่ม รวมเป็น 13 ก้อน หมอกฤตไทเริ่มมีอาการชัก จนทำให้ต้องรับการฉายแสงทั้งศีรษะ ซึ่งส่งผลกระทบถึงสมองส่วนที่เป็นปกติด้วย

มีนาคม 2566
อาการของ"หมอกฤตไท"ทรุดลงจากผลข้างเคียงของการรักษา มีอาการสมองบวม ปวดหัวรุนแรง ก้อนในสมองผมมีเลือดออก

เมษายน 2566
ผลติดตามการรักษา 6 เดือนพบว่า ก้อนที่ปอดขวายุบลงไปครึ่งหนึ่งจากของเดิม ก้อนเล็กๆที่ปอดซ้ายหายไปเกือบหมด ก้อนในสมองทุกก้อนยังอยู่ แต่ถือว่าสงบ ไม่มีก้อนขึ้นใหม่ที่อวัยวะอื่น ไม่มีการกระจายไปที่กระดูก ตับ ไต ปอด หรือต่อมน้ำเหลือง มีเพียงก้อนที่เยื่อหุ้มปอดที่โตขึ้นไปกดกระดูกซี่โครงทำให้มีอาการปวด 


ก่อนหน้านี้ "หมอกฤตไท" เคยได้โพสต์ถึง ประเด็นที่ว่าด้วย การแก้ปัญหา PM 2.5 เอาไว้ด้วยว่า

ประเทศไทยติดอันดับปัญหาฝุ่นในระดับโลกกันมาติดต่อกันหลายปี จำเป็นต้องหน่วยงานจริงจัง มีการจัดลำดับความสำคัญหรือให้น้ำหนักกับการแก้ไขปัญหาที่แหล่งกำเนิดของ PM2.5 มีความชัดเจนในการพยายามหาต้นตอของปัญหาเฉพาะแต่ละพื้นที่ ซึ่งไม่ใช่แค่การเผาป่า หรือปัญหารถติด เพื่อการแก้ไขปัญหาฝุ่นได้อย่างยั่งยืน

เผยภาพล่าสุด หมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังโพสต์แจ้ง ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน

logoline