
หากยังจำกันได้ เมื่อช่วงเดือน ก.ย.66 ที่ผ่านมา มีชาวบ้านพบ "ลูกช้างป่า" พลัดหลงโขลงกลางทุ่งนา ใกล้กับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว (ขสป.ภูวัว) หลังจากเจ้าหน้าที่ ขสป.ภูวัว เข้าตรวจสอบก็พบลูกช้างป่า 1 ตัว จึงมีการเฝ้าติดตามเพื่อรอดูว่า โขลงของแม่ช้างจะกลับมารับลูกหรือไม่ ควบคู่กับการดูแลลูกช้างตัวนี้ ท่ามกลางผู้คนในโลกโซเชียล ที่คอยเอาใจช่วยทั้งลูกช้างและเจ้าหน้าที่ ขอให้แม่น้องมารับ ต่อมา ลูกช้างป่าตัวนี้ถูกตั้งชื่อว่า "กันยา" ตามเดือนที่เจอน้อง
ความเป็นมาของ "น้องกันยา"
เช้าวันที่ 12 ก.ย.66 เจ้าหน้าที่ ขสป.ภูวัว ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีโขลงช้างป่าออกนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เป็นลูกช้างป่าพลัดหลงโขลง บริเวณริมป่านาตู้ดำ ท้องที่บ้านเทพมีชัย ต.หนองเดิ่น อ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบลูกช้างป่า 1 ตัว เพศเมีย วัยประมาณ 2 เดือน โดยรอบไม่พบโขลงช้าง
เบื้องต้น ขสป.ภูวัว ได้ทำคอกให้กับลูกช้างในบริเวณที่พบ และเฝ้าสังเกตการณ์ว่า จะมีโขลงของแม่ช้างกลับมารับลูกช้างหรือไม่ จนเช้าของวันที่ 13 ก.ย. ก็ไม่มีโขลงช้างกลับมา จึงประสานเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ สบอ.10 เพื่อตรวจสอบ และพิจารณาแนวทางดำเนินการกับลูกช้างป่า
ขณะที่ชุดเคลื่อนที่เร็ว และชุดลาดตระเวนของ ขสป.ภูวัว ออกติดตามโขลงช้างในพื้นที่ใกล้เคียงปรากฏว่า ไม่พบโขลงช้าง สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 10 (อุดรธานี) ร่วมกับ ขสป.ภูวัว จึงปรับแผนการดูแลลูกช้าง เนื่องจากสภาพอากาศ มีฝนตกลงมาเป็นระยะๆ และหวั่นลูกช้างป่วย เลยขนย้ายลูกช้างออกจากพื้นที่ที่พบ เข้าไปไว้ภายใน ขสป.ภูวัว เพื่อง่ายต่อการดูแล ในช่วงที่เจ้าหน้าที่ติดตามหาโขลงของแม่ช้าง และสะดวกต่อการรักษาลูกช้างของสัตวแพทย์
ในวันนั้น (13 ก.ย.) ลูกช้างมีอาการอ่อนเพลีย ท้องเสียถ่ายเหลว และมีบาดแผลขุดขีดตามร่างกาย ซอกคอ ใบหู จากการขุดกับกิ่งไม้ภายในคอก โดยรวมสมบูรณ์ดี แต่มีการร้องเรียกหาแม่ เป็นช่วงๆ
อัปเดตการดูแลลูกช้างป่า
ทีมสัตวแพทย์ ตรวจสอบสุขภาพลูกช้างป่า เบื้องต้นพบว่า
ทางเจ้าหน้าที่จึงดูแลอย่างใกล้ชิด โดยรักษาตามอาการ และทำแผลให้ พร้อมกับเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อตรวจโรค แล้วรอติดตามเฝ้าระวังอาการเป็นระยะ หลังได้รับการดูแลรักษาจากทีมสัตวแพทย์ และเจ้าหน้าที่ อุณหภูมิร่างกายของลูกช้างป่าก็มาอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ส่วนบาดแผลที่สะดือ มีการล้างทำความสะอาด ทายาฆ่าเชื้อ แผลถลอกบริเวณหลังใบหู ล้างทำความสะอาด และทาเบตาดีนฆ่าเชื้อ ตาซ้ายและขวามีอาการเนื้อเยื่อตาอักเสบ จึงเช็ดตาและหยอดยา เช้า กลางวัน เย็น ช่วงนั้น สุขภาพร่างกายลูกช้างป่าโดยรวมยังคงค่อนข้างอ่อนแอ
ต่อมา เพจเฟซบุ๊ก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว Phuwua Wildlife Sanctuary เผยผลการดูแลลูกช้างป่า พบว่า อาการน้องดีขึ้น ร่าเริง โดยจัดเจ้าหน้าที่ดูแลสังเกตอาการตลอด 24 ชั่วโมง มีการเปลี่ยนฟางในคอก เพื่อรักษาความสะอาดคอก และเช็ดตัวให้ลูกช้างเนื่องจากอากาศร้อน
ขสป.ภูวัว เตือน ไม่มีนโยบายเรี่ยไรเงิน ดูแลลูกช้างป่าพลัดหลง
ระหว่างการดูแลลูกช้างป่า ทางเพจเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ยังได้แจ้งเตือน ระบุว่า ณ ปัจจุบัน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ไม่มีนโยบายมอบหมายให้บุคคล หรือคณะบุคคล ทำการเรี่ยไรเงินในการเลี้ยงดูแลลูกช้างป่าพลัดหลงแต่อย่างใด หากผู้ใดพบเห็นพฤติกรรมดังกล่าวโปรดแจ้งเพื่อทำการตรวจสอบ
โซเชียลแห่ส่งกำลังใจ ตั้งชื่อ "น้องกันยา"
ขสป.ภูวัว ได้โพสต์อัปเดตอาการลูกช้างป่าเป็นระยะ มีผู้คนในโลกออนไลน์ เข้ามาให้กำลังใจน้องมากมาย พร้อมตั้งชื่อ "กันยา" ตามเดือนที่เจอช้างน้อยตัวนี้พลัดหลงโขลง อาทิ
ไม่ละความพยายาม ตามหาโขลงแม่ช้าง
ตั้งแต่พบ "น้องกันยา" พลัดหลงโขลง ขสป.ภูวัว ก็จัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ พร้อมทั้งติดกล้องดักสัตว์ เพื่อติดตามร่องรอยเส้นทางการเดิน และทิศทางการเคลื่อนที่ของโขลงช้าง เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการนำลูกช้างป่าคืนสู่โขลง
ในวันที่ 22 ก.ย.66 สถานีวิจัยสัตว์ป่าภูหลวง ได้รับมอบหมายจากสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า ให้ร่วมสนับสนุน ขสป.ภูวัว ลงพื้นที่ติดตามโขลงช้างป่าครอบครัวน้องกันยา โดยเจ้าหน้าที่ติดตามตั้งแต่จุดเริ่มต้นของพื้นที่พลัดหลงฝูงของลูกช้าง และติดตามเส้นทางที่เป็นด่านหลักของฝูงช้างป่าชุดดังกล่าว
กระทั่ง ได้รับแจ้งข่าวว่า ฝูงช้างป่ามีทิศทางเดินหากินห่างจากจุดแรกที่พลัดหลงฝูงประมาณ 15 กม. ยังคงหากินวนเวียนอยู่ในพื้นที่เขตฯ ภูวัว ใกล้ลานอ้อย (ใกล้วัดถ้ำพระ) จึงได้วางกล้องดักถ่ายในเส้นทางด่านที่จะเข้าออกหากินในพื้นที่นอกเขตฯ ภูวัว 2 จุด แล้วนำโดรนขึ้นบิน พบฝูงช้างป่า 14 ตัว คาดเป็นครอบครัวน้องกันยา จนช่วงค่ำจึงได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่ป่า โดยกำหนดเข้าติดตามโขลงช้างป่าวันที่ 23 ก.ย.66
อย่างไรก็ดี หลังจากนั้น น้องกันยา ยังคงอยู่ในความดูแลของทีมสัตวแพทย์ และเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด จนแผลที่สะดือสมานหายดี โดยทางเจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างเลือด ตรวจหาเชื้อเฮอร์ปีส์ไวรัสในช้าง
เตรียมพร้อม ก่อนไปอยู่กับ "แม่รับ" ที่เชียงใหม่
ต้นเดือน พ.ย. กรมอุทยานฯ ได้รับการประสานจาก นายธีรภัทร ตรังปราการ เจ้าของ Patara Elephant Conservation บ้านแม่ขนิลเหนือ ต.บ้านปง อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ว่า พร้อมจะให้แม่ช้างที่เพิ่งตกลูกเป็น "แม่รับ" ของน้องกันยา โดยเป็นการประสานผ่าน น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา
เพื่อให้น้องกันยา ได้กินนมแม่ช้าง และได้กินมูลแม่ช้างตามธรรมชาติ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และมีแม่รับคอยสอนการใช้ชีวิต แล้วยังจะมีลูกช้างชื่อ "ธาริน" เป็นเพื่อนด้วย
ทีมสัตวแพทย์ ได้ดูแลน้องกันยาอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรง และยังฝึกให้ขึ้นรถขนย้าย สร้างความคุ้นชิน ก่อนการเคลื่อนย้าย จะตรวจเลือดประเมินสุขภาพโดยรวมอีกครั้ง
เมื่อประเมินว่า น้องกันยา แข็งแรงและพร้อมเดินทาง จะเคลื่อนย้ายจาก ขสป.ภูวัว จ.บึงกาฬ ไปยัง Patara Elephant Conservation จ.เชียงใหม่ โดยสัตวแพทย์จะดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดการเดินทาง และจะติดตามความเป็นอยู่อย่างต่อเนื่อง
สู่ครอบครัวใหม่ 9 พ.ย.66
ล่าสุด เฟซบุ๊ก NuNa Silpa-archa ระบุ น้องกันยาจะเดินทางไป Patara Elephant Conservation เชียงใหม่ วันที่ 9 พ.ย.66 เวลา 16.30 น. พร้อมบอกรัก และอวยพรให้น้องเดินทางโดยสวัสดิภาพ มีครอบครัวที่อบอุ่น ได้นมแม่ช้าง มีแม่รับ ผู้คนที่รัก รวมทั้ง ขอให้เติบโตอย่างแข็งแรง เป็นแม่พังที่งดงามต่อไป ขอขอบคุณทุกฝ่าย ทุกคนที่ช่วยดูแลน้อง และที่จะดูแลน้องในภายหน้า ขอบคุณคุณภัทรที่ให้โอกาสแก่ชีวิตน้อยๆ นี้
หลังมีข่าวดี ผู้คนในโซเชียลต่างดีใจ ยินดีกับน้องกันยา ที่จะได้ไปเริ่มต้นการใช้ชีวิตโดยมีครอบครัวที่อบอุ่น และมีแม่รับคอยดูแล
"แม่รับ" คืออะไร?
สำนักงานราชบัณฑิตยสภา 24 เมษายน 2556 อธิบายคำว่า "แม่รับ" คือ ช้างพังที่คอยช่วยเหลือแม่ช้างในเวลาตกลูก ในธรรมชาติที่ช้างอยู่รวมกันเป็นฝูง หรือผู้เลี้ยงช้างมีช้างหลายเชือก แม่ช้างที่ท้องแก่ใกล้ออกลูก จะหาเพื่อนช้างพังที่สนิทไว้คอยช่วยเหลือเวลาตกลูก ลูกช้างที่ออกมาจะมีถุงเป็นเยื่อบาง ๆ หุ้มอยู่ แม่รับจะเข้าไปช่วยฉีกถุงหุ้มออกจากตัวลูกช้าง และคอยดูแลลูกช้างจนลูกช้างลุกขึ้นเดินได้
แม่รับ จะประคับประคองลูกช้างให้เดินไปหาแม่ช้างเพื่อให้ลูกช้างได้กินนม แม่ช้างบางตัวยังไม่มีสัญชาตญาณรักลูกเพราะยังเจ็บปวดกับการออกลูก ก็อาจทำร้ายลูกช้างจนตายได้ แม่รับจะคอยกันลูกช้างไม่ให้เข้าใกล้แม่จนเห็นว่าปลอดภัย จึงให้ลูกช้างเข้าไปกินนมแม่ได้
แม่รับ บางตัวเอาใจใส่ดูแลลูกช้างมากกว่าแม่ช้าง โดยคอยช่วยดูแลและพาไปหัดกินหญ้าอ่อน คอยป้องกันอันตราย อื่น ๆ เช่น ไม่ให้ถูกงูกัดหรือถูกไม้กลิ้งทับ
ส่องสถานการณ์ช้างป่าในประเทศไทย
จากข้อมูลของ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พบว่า ปัจจุบันช้างป่ามีจำนวนประชากรอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ประมาณ 4,013-4,422 ตัว ในพื้นที่อนุรักษ์ทั้งในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน จำนวน 91 แห่ง (ข้อมูลวันที่ 9 มีนาคม 2566 ซึ่งเป็นข้อมูลที่อยู่ระหว่างการสำรวจและการประเมินประชากรช้างป่าทั่วประเทศ ปี 2566) และภายในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติบางแห่ง ในแต่ละพื้นที่การกระจายสามารถพบช้างป่าได้ตั้งแต่น้อยกว่า 10 ตัว ไปจนถึง 200-300 ตัว
แม้ว่าในประเทศไทยแนวโน้มประชากรช้างป่าโดยรวมค่อนข้างคงที่ อย่างไรก็ตาม การสำรวจติดตามและศึกษาประชากรช้างป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์หลายแห่งในประเทศไทย พบว่า ส่วนใหญ่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ พื้นที่ป่าอนุรักษ์หลายแห่งที่เป็นถิ่นอาศัยของช้างป่า ถูกแบ่งแยกเป็นหย่อมป่า (Habitat Fragmentation) ซึ่งปัญหาดังกล่าว เป็นปัจจัยหลักก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า โดยเฉพาะปัญหาที่ช้างออกมาทำลายพืชผลทางการเกษตรของราษฎรที่อาศัยใกล้ชิดตามแนวขอบพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ปัจจุบันปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างเกิดขึ้นในพื้นที่อนุรักษ์กว่า 49 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งปัญหาดังกล่าวยังมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวและมีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต
ทางรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์และจัดการช้าง จึงได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการอนุรักษ์และจัดการช้าง เมื่อวันที่ 21 ต.ค.65 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) เพื่อให้มีการบูรณาการความร่วมมือ และสนับสนุนการดำเนินการอนุรักษ์ จัดการ และแก้ไขปัญหาช้างให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
ขอบคุณที่มาจาก : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช , เพจเฟซบุ๊กเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว Phuwua Wildlife Sanctuary , ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 10 (อุดรธานี) , เฟซบุ๊ก NuNa Silpa-archa