
ช่วงนี้ ฝนตก และเป็นช่วงวันหยุดยาววววว ชวนคอข่าวมาร่วมส่องโพสต์ที่น่าอ่าน แม้จะออกแนวปรัชญา แต่ทว่า สุขุมและลุ่มลึก
บางทีการใช้เวลาว่างในวันหยุด กับการอ่านบทความดีๆ สักช่วงเวลาหนึ่ง อาจเป็นความสุขที่ประเมินค่าไม่ได้
โดยในโพสต์ที่น่าสนใจ ของ วินทร์ เลียววาริณ ระบุไว้ว่า
คนจำนวนมากเมื่อประสบเรื่องร้าย จะเอ่ยว่าทำไมเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นกับเราตลอดเวลาโดยที่เราไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาด้วยซ้ำ
ประโยค 'เราไม่ได้ทำอะไรผิด' มักแปะติดมาด้วยเสมอ
แต่ในสายตาของชาวสโตอิก (Stoic) เห็นว่าเรื่องร้ายเป็นแค่มุมมอง
Stoicism เป็นปรัชญากรีกโบราณ ผู้ก่อตั้ง Stoicism คือ ซีโนแห่งซีเทียม
ซีโนเป็นพ่อค้าร่ำรวย แต่ประสบชะตากรรมเรือแตก สูญเสียทุกอย่าง หลังจากนั้นเขาก็มองโลกด้วยมุมมองใหม่
เขาเสนอแนวคิดให้ลดทอนอารมณ์ด้านลบ และเพิ่มความรู้สึกด้านบวก ยอมรับเรื่องร้าย ๆ ได้ด้วยรอยยิ้ม รักษาความสงบเยือกเย็น และกล้าหาญในยามเจออุปสรรคร้ายแรง ที่เรียกว่า stoic calm
ปราชญ์สาย Stoicism มีหลายคน คนหนึ่งคือเซเนกา (Seneca) งานเขียนเกี่ยวกับสโตอิกของเขาชิ้นหนึ่งที่อยู่รอดมาถึงปัจจุบันคือ จดหมายจากสโตอิกคนหนึ่ง (Letters from a Stoic) เป็นจดหมายจำนวน 124 ฉบับที่เซเนกาเขียนถึงเพื่อนชื่อ Lucilius Junior เล่าเรื่องทั่วไป แล้วโยงเข้าหาปรัชญา ข้อคิด และการจะเป็นสโตอิกที่ดี
เซเนกาเขียนในเรื่องนี้ว่า “เราทนทุกข์กับจินตนาการมากกว่าความจริง”
จักรพรรดิโรมัน มาร์คัส ออรีลิอัส (Marcus Aurelius) ก็เป็นนักปรัชญาสโตอิกที่มีชื่อเสียง แม้จะเป็นนักรบ แต่ก็เก่งเรื่องปรัชญา งานเขียนของเขา เช่น Meditations สอนให้ยอมรับสิ่งที่เป็น ยอมรับสิ่งที่มาปรากฏต่อหน้า และสร้างทัศนคติที่ปรับตัวได้ต่อโลกภายนอก
หลักของชาวสโตอิกคือไม่หนีความทุกข์ แต่โอบรับมัน
โอบกอดความทุกข์ไว้ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ยอมรับเคราะห์ร้ายได้ ไม่สาปแช่งโชคชะตาฟ้าดิน ไม่บ่น เพราะไม่มีประโยชน์ ไม่ต่อต้านเรื่องร้าย ๆ ด้วยอารมณ์ ยอมรับว่ามันเกิดขึ้น แล้วเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน
เพราะเคราะห์ร้ายก็เหมือนเชื้อโรคที่อยู่กับเรา กำจัดไม่ได้ มีแต่อยู่กับมันอย่างสันติ มันทำอะไรเราไม่ได้เมื่อเราแข็งแรง เราหนีมันไม่พ้น แต่เราอยู่กับมันได้
อยู่กับทุกข์ได้ก็จบไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ชาวสโตอิกมองว่า ความทุกข์ยากลำบากก็เป็นแค่บททดสอบแห่งชีวิต เรื่องร้ายไม่ใช่เรื่องร้ายหรือไม่ร้าย แต่อยู่ที่มุมมอง
จุดนี้คล้ายหลักเซน โลกไม่มีดีหรือร้าย มันเป็นเช่นนั้นเอง
ทัศนคติต่างหากที่ทำให้เราตัดสินและตีตราว่าเรื่องที่เกิดขึ้นดีหรือร้าย
ความแตกต่างของความสุขกับความทุกข์จึงอยู่ที่ทัศนคติต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ชีวิตมีเรื่องที่คุมได้ กับคุมไม่ได้ คุมสิ่งที่คุมได้ ถ้าอะไรแก้ไขได้ก็แก้ แก้ไม่ได้ก็ไม่ต้องแก้ อะไรทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ
แค่ไหนแค่นั้น อย่าคิดมาก เพราะจะทำอะไรได้เล่า มันไร้ประโยชน์ที่จะวิตกกับสิ่งที่เราคุมไม่ได้
เราไม่อาจคุมดินฟ้าอากาศ พายุ แผ่นดินไหว และการกระทำเรื่องร้าย ๆ ของคนอื่นที่ส่งผลกระทบต่อเรา แต่เราสามารถจัดการตัวเองให้อยู่ในสถานการณ์ร้าย ๆ ได้ โดยใช้สติ + ปัญญา + ความอดทน ฝ่าความยากลำบาก
หลวงพ่อชา สุภทฺโท สอนว่า
มองเห็นธรรมชาติ มันเกิดขึ้นแล้ว มันทรงอยู่ แล้วมันก็ดับไป เป็นธรรมชาติอย่างนี้ เข้าใจแล้ว จิตก็สบายขึ้น
ไม่เฉพาะแต่เหตุร้าย บ่อยครั้งเราก็เจอคนแย่ ๆ ทำเรื่องไม่ดีกับเรา
การเจอคนอื่นทำให้เราเจอเรื่องแย่ ๆ ก็ต้องยอมรับเขา ให้เข้าใจว่าธรรมชาติของมนุษย์มีทั้งดีและไม่ดี ก็แค่ยอมรับ
แต่ละคนมีวิธีของเขาเอง เราอาจไม่ชอบวิธีของเขา แต่เราไม่ใช่เขา อย่าพยายามไปเปลี่ยนคนอื่น
เอพิคทีตัสกล่าวว่า
“ใครก็ตามที่สามารถทำให้ท่านโกรธ จะกลายเป็นเจ้านายของท่าน เขาสามารถทำให้ท่านโกรธเพียงเมื่อท่านอนุญาตให้เขารบกวนท่านเอง”
คนที่ยอมให้ปัจจัยภายนอกตัวเป็นข้อแม้ของความสุข จะถูกชะตาภายนอกกำหนด ความสุขอยู่ภายใน
เราอาจเคยได้ยินเรื่องของคนที่ดูแลสุขภาพอย่างดี กินแต่อาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับเต็มอิ่ม ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า แต่เป็นโรคมะเร็งร้ายหรือหัวใจวาย ตายเร็วกว่าคนที่ไม่ดูแลสุขภาพ
เรามักตั้งคำถามว่าทำไม แต่ในมุมของ Stoicism นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
หนึ่งในปราชญ์ที่มีชื่อเสียงสายปรัชญา Stoicism คือ เอพิคทีตัส (Epictetus) เป็นทาสมาก่อน
Epictetus ไม่ใช่ชื่อคน คำนี้แปลว่าการซื้อ เพราะเขาเป็นทาสที่ถูกซื้อมา เขาเกิดที่ Hierapolis, Phrygia (ปัจจุบันคือตุรกี) เป็นคนฉลาด เมื่อได้รับอิสรภาพ เขาก็ไปอาศัยที่กรีก สอนหลักการ Stoicism แก่สานุศิษย์ เขียนหนังสือหลายเล่ม
อาจเพราะผ่านชีวิตทาสมาก่อน เอพิคทีตัสเห็นว่าปัจจัยภายนอกเป็นเรื่องที่เราคุมไม่ได้ ดังนั้นเราควรยอมรับมัน รับมือกับมันอย่างมีสติและเยือกเย็น
เอพิคทีตัสสอนหลักสโตอิกอย่างมีอารมณ์ขันว่า
“ถ้าข้าฯต้องตายเดี๋ยวนี้ ข้าฯก็จะตายเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าเป็นภายหลัง ข้าฯก็ขอกินอาหารเที่ยงก่อน”
ความหมายคือเขาคุมได้เฉพาะเรื่องอาหารเที่ยง ส่วนเรื่องความตาย เขาคุมไม่ได้
ในเมื่อคุมไม่ได้ ไยต้องปวดหัวกับมัน
ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องคุมไม่ได้ ก็ป่วยการเปลืองแรงไปกลุ้มใจ
ชีวิตมีสองด้าน ด้านที่คุมได้ กับที่คุมไม่ได้
คุมไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียเวลากับมัน เราเรียกหลักนี้ว่า Dichotomy of Control
หลักนี้บอกว่าบางอย่างเราคุมได้ บางอย่างเราคุมไม่ได้
เราไม่เกี่ยวอะไรกับลูกธนูอีกต่อไป มันจะเข้าเป้าหรือไม่เข้าเป้าไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวลหรือกลุ้มใจ เพราะเราคุมมันไม่ได้อีกแล้ว ลมอาจตีมาทำให้ลูกศรไม่เข้าเป้า ทหารข้าศึกอาจเคลื่อนตัวทันใด ทำให้เรายิงไม่ถูก ดังนั้นเราไม่ควรผูกตัวเองกับผลลัพธ์ แต่ผูกได้กับความพยายามของเรา
โลกเรามีสองเรื่องเท่านั้นคือสิ่งที่เราคุมได้กับสิ่งที่เราคุมไม่ได้ สิ่งที่เราคุมได้คือความคิดของเรา ความต้องการของเรา สิ่งที่เราคุมไม่ได้คือร่างกาย ทรัพย์สิน ชื่อเสียง
เราอาจพยายามคุมร่างกาย ชื่อเสียง แต่มันไม่แน่นอน เราทำได้เพียงแค่พยายามได้เต็มที่ ส่วนผลลัพธ์อาจคุมไม่ได้
ในเรื่องสุขภาพ เราสามารถพยายามดูแลตัวเอง แต่มันมีปัจจัยอีกมากมายที่อาจทำให้สุขภาพเราเสื่อมลงและอายุสั้น เช่น เชื้อโรค สารเคมีที่เราได้รับมาจากโรงงานใกล้บ้าน ควันบุหรี่ที่เราได้รับจากคนรอบตัว ฯลฯ
เรื่องการสมัครงานก็เช่นกัน เราพยายามได้ เตรียม resume อย่างดี แต่ที่เหลือเราคุมไม่ได้ เราอาจไม่ได้งานเพราะผู้สัมภาษณ์หงุดหงิดในวันนั้น เนื่องจากเช้านั้นคนสัมภาษณ์ทะเลาะกับเมีย หรือโดนคนขับรถปาดหน้า ฯลฯ
การหาคนรักก็เช่นกัน เราคุมให้ใครมารักเราไม่ได้ แต่เราทำตัวเองให้น่ารักได้
ดังนั้นเราไม่ด่าใครโทษใครในเรื่องที่เราคุมไม่ได้
เอพิคทีตัสจึงกล่าวว่า “ทางเดียวของความสุขคือยุติความกังวลเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ซึ่งอยู่เหนืออำนาจและเจตจำนงของเรา”
ส่งท้ายกับดาวผู้ล่วงลับ
ในช่วงปี 1953-1955 บริษัทญี่ปุ่นหกแห่งรวมตัวกันเป็นบริษัทใหม่เพื่อผลิตรถยนต์ ตั้งชื่อรถยนต์ว่า ซูบารุ
ในปี 1980 ปรากฏเพลงเพลงหนึ่งในโลกดนตรี ชื่อเพลง Subaru ไปไหนมาไหนเป็นต้องได้ยินเพลงนี้
ซูบารุแปลว่าอะไร?
ซูบารุก็คือกลุ่มดาวลูกไก่ (The Pleiades) หรือกลุ่มดาว M45 อยู่ห่างโลกราว 440 ปีแสง ประกอบด้วยดาวเจ็ดดวง จึงมักเรียกว่าเจ็ดศรีพี่น้อง (Seven Sisters) ในคืนฟ้าสงบ หากเราเงยหน้ามองฟ้า อาจเห็นกระจุกดาวลูกไก่ด้วยตาเปล่า แต่มักเห็นแค่หกดวง
โบราณมีความเชื่อว่า ต้องเป็นคนพิเศษจึงมองเห็นดวงที่เจ็ด
ซูบารุในภาษาญี่ปุ่นยังถูกใช้ในความหมายว่าไปด้วยกันเป็นกลุ่ม จึงเป็นเหตุผลของชื่อรถยนต์ซูบารุ สัญลักษณ์เป็นดาวหกดวงที่รวมเป็นหนึ่ง
ส่วนเพลง Subaru (昴すばる) เป็นผลงานของ ชินจิ ทานิมุระ มันกลายเป็น signature song ของเขา
นักร้องผู้นี้มักแต่งตัวสวมสูทเรียบร้อยมาก ยืนกลางเวที ตัวตรงแทบไม่ขยับเขยื้อนเหมือนเด็กนักเรียนยืนหน้าชั้น แต่เสียงทรงพลังสะกดใจทุกคน
ในเพลงนี้ดาวลูกไก่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการใช้ชีวิต
ฉันหลับตาและมองไม่เห็นสิ่งใด
ด้วยความเศร้าในหัวใจ
ฉันลืมตา แลเห็นทางสายหนึ่งวิ่งสู่ความเปลี่ยวร้าง
ดวงดาราทั้งหลายถูกกำหนดให้แตกสลายชิ้นเล็กชิ้นน้อย
อย่างน้อยก็ส่องสว่างให้ฉันบ้าง
ด้วยแก้มซีดขาว ฉันจะไปตามทางของฉัน
ฉันจะไปตามทางของฉัน ลาก่อนดาวลูกไก่
ทุกคราที่สูดลมหายใจเย็นยะเยือก
หัวใจของฉันอบอุ่น มุ่งหน้าสู่ความฝัน
ดวงดาราไร้ชื่อทั้งหลาย ส่องสว่างจนช่วงยามสุดท้าย
ฉันก็จะไปตามเสียงเรียกของหัวใจ
ฉันจะไปตามทางของฉัน ลาก่อนดาวลูกไก่
ฯลฯ
ชีวิตคือการเดินทางด้วยตนเองไปตามทางเปลี่ยวร้าง มีความฝันเป็นแสงไฟที่ปลายอุโมงค์ ในยามที่ท้องฟ้ามืดมน กลุ่มดาวลูกไก่ส่องสว่างนำทางให้
เราทุกคนล้วนมีดาวลูกไก่เจ็ดดวงส่องสว่างให้ชีวิต หกดวงคือพ่อ แม่ ญาติ ครู เพื่อน และคนแปลกหน้า ดวงที่เจ็ดซึ่งเรามักมองไม่เห็น ก็คือตัวเราเอง
ทางเดียวที่จะเห็นตัวเองก็คือการเดินทางเข้าสู่โลกภายในที่เปลี่ยวร้าง สำรวจตัวตน ปล่อยให้แสงดาราอาบหัวใจ
เพราะมีแต่คนที่มีดวงดาราฉายแสงในหัวใจ จึงไม่หลงทาง
และเพราะจุดดาวบนฟ้าก็เช่นตัวโน้ตดนตรีที่กระจัดกระจายไปทั่ว เราต้องเป็นผู้รวบรวมจุดโน้ตดาราเหล่านั้นมาบรรเลงเพลงชีวิตของเราเอง
ลาก่อน ชินจิ ทานิมุระ ผู้สร้างรอยยิ้มในหัวใจของเรา
วินทร์ เลียววาริณ
17 ตุลาคม 2566