
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ หรือ NARIT ชวนคนรักดวงดาว ร่วมชมฝนดาวตกโอไรออนิดส์คืนนี้ !!
เฟซบุ๊ก NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ระบุว่า
คืน 21 - รุ่งเช้า 22 ตุลาคมนี้ มี "ฝนดาวตกโอไรออนิดส์" ร่องรอยของ ดาวหางฮัลเลย์ เมื่อครั้งเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ เริ่มสังเกตได้ตั้งแต่เวลาประมาณ 22:30 น. ของวันที่ 21 ตุลาคม เป็นต้นไป จนถึงรุ่งเช้าวันที่ 22 ตุลาคม บริเวณกลุ่มดาวนายพราน (Orion) อัตราการตกสูงสุดเฉลี่ยประมาณ 20 ดวง/ชั่วโมง หากฟ้าใสไร้ฝน ลุ้นชมความสวยงามได้ทั่วประเทศ
“ฝนดาวตกโอไรออนิดส์” เกิดจากโลกเคลื่อนที่ตัดผ่านเส้นทางการโคจรของ ดาวหางฮัลเลย์ (1P/Halley) ที่หลงเหลือเศษฝุ่นและวัตถุขนาดเล็กจำนวนมากทิ้งไว้ในวงโคจร ขณะเคลื่อนที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์เมื่อปี พ.ศ. 2529 แรงโน้มถ่วงของโลกจึงดึงดูดเศษฝุ่นและวัตถุดังกล่าวเข้ามาเสียดสีกับชั้นบรรยากาศโลก เกิดการลุกไหม้ เห็นเป็นแสงวาบคล้ายลูกไฟพุ่งกระจายตัวออกมาบริเวณกลุ่มดาวนายพราน มีสีเหลืองและเขียว สวยงามพาดผ่านท้องฟ้า
สำหรับ ฝนดาวตกโอไรออนิดส์ปี 2566 ในคืนดังกล่าว ดวงจันทร์จะตกลับขอบฟ้าเวลาประมาณ 23:30 น. หลังจากนั้นจะไร้แสงจันทร์รบกวนจนถึงรุ่งเช้าของวันถัดไป อีกทั้งยังตรงกับคืนเสาร์-อาทิตย์พอดี จึงเป็นโอกาสดีที่จะชมฝนดาวตก วิธีการสังเกตที่ดีที่สุดคือมองด้วยตาเปล่า เลือกสถานที่ที่ปราศจากแสงรบกวนหรือห่างจากแสงเมืองให้มากที่สุด จะทำให้เห็นดาวตกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
รอชม ฝนดาวตกโอไรออนิดส์
ตั้งแต่คืนนี้ถึงรุ่งเช้าวันใหม่
พลาดแล้วอาจต้องรออีก 38 ปี
แม้ว่า ฝนดาวตกโอไรออนิดส์ จะมีอัตราการตกสูงสุดเฉลี่ยเพียงประมาณ 20 ดวง/ชั่วโมง แต่ก็เป็นฝนดาวตกที่อยู่บริเวณกลุ่มดาวนายพราน ซึ่งเป็นกลุ่มดาวที่สังเกตได้ง่าย และมีดาวฤกษ์ที่สว่างเด่นอีกหลายดวงให้ชม อาทิ ดาวบีเทลจุส (สีส้มแดง) ดาวไรเจล (สีฟ้าขาว) รวมถึง ดาวซิริอุส ดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้าในกลุ่มดาวหมาใหญ่ใกล้ ๆ กัน
นอกจากนี้ หากบันทึกภาพปรากฏการณ์ฝนดาวตกในคืนดังกล่าว อาจได้ภาพของดาวตกที่เคียงคู่ดวงดาวที่สวยงามอันดับต้น ๆ ของท้องฟ้าก็เป็นได้
"ฝนดาวตกโอไรออนิดส์" เป็นปรากฏการณ์ที่สังเกตได้ในช่วงวันที่ 2 ตุลาคม - 7 พฤศจิกายน ของทุกปี เพราะฉะนั้นเราสามารถรอชมความสวยงามได้ทุกปี แต่หากเป็น ดาวหางฮัลเลย์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของฝนดาวตกนี้ จากการคำนวณคาดว่าดาวหางจะโคจรเฉียดดวงอาทิตย์อีกครั้งในช่วงกลางปี พ.ศ. 2604 ดังนั้น เราน่าจะได้เห็นดาวหางกันอีกครั้งในอีก 38 ปีข้างหน้า
ฝนดาวตกโอไรออนิดส์ ดูได้ที่ไหน ช่วงเวลากี่โมง ?
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ระบุว่า สามารถรับชม ฝนดาวตกโอไรออนิดส์ ฝุ่นละออง ดาวหางฮัลเลย์ ตั้งแต่ในคืนวันที่ 21 ตุลาคม 2566 สามารถดูได้ด้วยตาเปล่า "ทางด้านตะวันออก" ตั้งแต่ 23.00 น. จนถึงรุ่งเช้า พร้อมแนะนำผู้ที่สนใจให้ไปอยู่ในจุดชมวิวที่ท้องฟ้ามืดสนิท ห่างจากตัวเมือง
เช็กพิกัดรอชม ฝนดาวตกโอไรออนิดส์ ฝุ่นละออง ดาวหางฮัลเลย์ 21 ต.ค. 2566
สถานที่แนะนำดูฝุ่นละอองดาวตก ดาวหางฮัลเลย์ 21 ต.ค. 66
เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในประเทศไทย ปี 2566 ภายใต้โครงการ AMAZING DARK SKY IN THAILAND Season 2 มีจำนวนทั้งสิ้น 18 แห่ง ดังนี้
อุทยานท้องฟ้ามืด (Dark Sky Park) จำนวน 5 แห่ง ได้แก่
เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคล (Dark Sky Properties) จำนวน 11 แห่ง ได้แก่
เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ชานเมือง (Dark Sky Suburbs) จำนวน 2 แห่ง ได้แก่
ขอขอบคุณที่มาเครดิต: darksky.narit.or.th
สาระดีๆ อ่านแล้วสุดจึ้ง(ซึ้ง)..จึงนำมาฝากคนรักดวงดาว
"ขออยู่ในชีวิตที่เหลือของเธอได้ไหม" เรื่องเล่าจาก #ดาวหางฮัลเลย์ ในแง่มุมประวัติศาสตร์และดาราศาสตร์
ช่วงนี้หลายคนคงจะได้ยินเพลง "ดาวหางฮัลเลย์" ของวง fellow fellow แน่นอนดาวหางดวงนี้มีอยู่จริง และมีชื่อเสียงมากที่สุดดวงหนึ่งในประวัติศาสตร์ NARIT จึงขอพาทุกคนไปรู้จักกับดาวหางฮัลเลย์กันให้มากขึ้นผ่านบทเพลงนี้
"ระหว่างที่มีดาวดวงนึงโคจรในอวกาศ จากวันนั้นฉันก็มองโลกไม่เหมือนเดิม"
ดาวหางฮัลเลย์ (Halley’s Comet) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า 1P/Halley นับเป็นดาวหางที่มีชื่อเสียงที่สุด และมีหลักฐานบันทึกการพบเห็นมานานแล้วกว่า 2,000 ปี ตั้งชื่อตาม “เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ (Edmond Halley) นักฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้เป็นคนแรกที่สามารถคำนวณคาบของดาวหางฮัลเลย์ได้ในปี ค.ศ. 1705
ในปี 1687 เป็นปีที่ “ไอแซค นิวตัน (Isaac Newton)” ได้ตีพิมพ์ผลงานที่มีชื่อว่า “Philosophiæ Naturalis Principia Mathematica” หรือที่เรารู้กันในชื่อ “กฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน” อันโด่งดัง ที่หลายคนน่าจะเคยได้เรียนกันในวิชาฟิสิกส์ระดับ ม.ปลาย โดยในขณะนั้นฮัลเลย์ก็นับเป็นหนึ่งในคนใกล้ชิดของนิวตัน ซึ่งฮัลเลย์สนใจในเรื่องแรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ ว่าแรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์แก๊สยักษ์ทั้ง 2 ดวงนี้ จะส่งผลต่อวงโคจรของดาวหางอย่างไรบ้าง
ในปี 1705 ฮัลเลย์ได้นำข้อมูลบันทึกตำแหน่งของดาวหางตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 จนถึงศตวรรษที่ 17 มาคำนวณด้วยกฎของนิวตัน แล้วพบว่า มีดาวหาง 3 ดวงที่เคยปรากฏตัวในปี ค.ศ. 1531, 1607 และ 1682 ที่มีค่าคุณสมบัติในวงโคจรที่เหมือนกัน เขาจึงสรุปว่า นี่คือดาวหางดวงเดียวกันและจะโคจรกลับเข้ามาใกล้โลกทุก ๆ 74 - 79 ปี โดยในปี 1682 นั้น เป็นปีที่ฮัลเลย์สังเกตการณ์และบันทึกข้อมูลของดาวหางดวงนี้ด้วยตัวเอง และฮัลเลย์ทำนายว่า ดาวหางดวงนี้จะโคจรเข้ามาใกล้โลกอีกครั้งในปี 1758
“ปฏิทินจากนี้มีไว้เพื่อนับวัน นาฬิกามีไว้เฝ้าคอยนับนาที”
ผลปรากฏว่าในปี 1758 นั้น มีดาวหางปรากฏให้เห็นด้วยตาเปล่าบนท้องฟ้าจริง ๆ แต่สุดท้ายแล้ว เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ก็ไม่ได้มีโอกาสได้มองเห็นดาวหางดวงนี้ด้วยตาตัวเองอีกเป็นครั้งที่สอง เนื่องจากเขาได้เสียชีวิตลงในปี 1742 ดาวหางดวงนี้จึงเป็นดาวหางดวงแรกที่จัดอยู่ในประเภทดาวหางคาบสั้น (คาบการโคจรสั้นกว่า 200 ปี) และเพื่อเป็นเกียรติให้กับเอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ จึงตั้งชื่อดาวหางดวงนี้ว่า “ดาวหางฮัลเลย์” นั่นเอง
“ยังมีเพลงรักเป็นพันบทเพลงรอแชร์ให้เธอได้ฟัง”
เพลง “ดาวหางฮัลเลย์” ที่กำลังโด่งดังในช่วงนี้ ไม่ใช่ผลงานทางด้านศิลปะชิ้นแรกที่มีความเกี่ยวข้องกับดาวหางฮัลเลย์ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ดาวหางดวงนี้มีบันทึกการพบเห็นมาตั้งแต่ในสมัยโบราณกว่า 2,000 ปีที่แล้ว พบงานศิลปะสมัยโบราณ เช่น บันทึกยุคจีนโบราณเมื่อ 200 ปีก่อนคริสตกาล Bayeux Tapestry พรมหนังผ้าความยาว 70 เมตรในยุคศตวรรษที่ 11 Eadwine Psalter หนังสือที่เกี่ยวข้องกับพระธรรมสดุดีของศาสนาคริสต์ในช่วงศตวรรษที่ 12 เป็นต้น โดยในสมัยนั้นมีความเชื่อกันว่า ดาวหางเป็นลางบอกเหตุร้าย เพราะเมื่อใดก็ตามที่ดาวหางปรากฏบนท้องฟ้า จะนำมาซึ่งความปราชัยในศึกสงครามเสมอ
จากข้อมูลการศึกษาทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นักดาราศาสตร์พบว่า ดาวหางฮัลเลย์มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 11 กิโลเมตร มีคาบการโคจรเฉลี่ย 76 ปี มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี ซึ่งแต่ละรอบจะมีคาบการโคจรไม่เท่ากัน เนื่องจากวงโคจรถูกรบกวนโดยแรงโน้มถ่วงจากดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ โดยธรรมชาติของดาวหางนั้น มีลักษณะเป็น “ก้อนน้ำแข็งสกปรก” ในอวกาศ มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นโมเลกุลที่ระเหิดได้ง่าย เช่น น้ำ มีเทน แอมโมเนีย และคาร์บอนไดออกไซด์ ปะปนอยู่กับเศษหินและฝุ่น ทุก ๆ ครั้งที่ดาวหางโคจรเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ ดาวหางจะได้ปริมาณรังสีที่เพิ่มสูงขึ้นมาก โมเลกุลของสสารเหล่านี้จะระเหิดเป็นแก๊สที่ฟุ้งกระจายไปในอวกาศ มีทิศทางตรงกันข้ามกับดวงอาทิตย์ เกิดเป็นหางของดาวหางที่สวยงามขึ้นมานั่นเอง
ดาวหางฮัลเลย์โคจรเข้ามาเฉียดดวงอาทิตย์ครั้งล่าสุดเมื่อปีเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1986 และจากการคำนวณคาดว่า ครั้งถัดไปดาวหางจะเฉียดดวงอาทิตย์ในช่วงกลางปี ค.ศ. 2061 ดังนั้น ในอีก 38 ปีข้างหน้า เราก็น่าจะได้เห็นหนึ่งในดาวหางที่สวยงามและสว่างที่สุด กลับมาปรากฏบนท้องฟ้าให้พวกเราได้ชื่นชมกันอีกครั้ง
แม้ว่าดาวหางฮัลเลย์จะโคจรมาให้เราได้ยลโฉมในทุก ๆ 76 ปี แต่ทุก ๆ ครั้งที่เคลื่อนที่เข้ามา รังสีจากดวงอาทิตย์จะทำให้ดาวหางสูญเสียมวลของตัวเองไปเรื่อย ๆ และมีขนาดเล็กลง 1-3 เมตรในแต่ละรอบ จนในที่สุดเมื่อมวลสารส่วนที่เป็นน้ำแข็งสลายตัวจนหมดไป ดาวหางฮัลเลย์ก็จะไม่ได้มีหางที่สวยงามเหมือนที่เราเคยเห็นในอดีต กลายเป็นเพียงก้อนหินมืดดำในอวกาศ หรืออาจแตกสลายกลายเป็นเศษฝุ่นที่ยังคงโคจรอยู่รอบ ๆ ดวงอาทิตย์ต่อไปเพียงเท่านั้น
นอกจากนี้ ในระหว่างที่ดาวหางฮัลเลย์โคจรและทิ้งเศษหินและฝุ่นไปในอวกาศนั้น เมื่อโลกโคจรตัดผ่าน แรงโน้มถ่วงของโลกจะดึงเอาเศษหินและฝุ่นเหล่านี้เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ เกิดการเผาไหม้เป็นดาวตก เป็นต้นกำเนิดของฝนดาวตก “โอไรออนิดส์ (Orionids)” ที่จะเกิดขึ้นประจำในช่วงเดือนตุลาคมของทุก ๆ ปี โดยในปี 2023 นี้ ฝนดาวตกโอไรออนิดส์จะมีอัตราการตกสูงสุดตรงกับคืนวันที่ 21 ตุลาคม จนถึงรุ่งเช้าของวันที่ 22 ตุลาคม ศูนย์กลางการกระจายตัวอยู่ที่กลุ่มดาวนายพราน (Orion) มีอัตราการตกประมาณ 20 ดวงต่อชั่วโมง
เผยภาพสุดทึ่ง !!
และนี่คือหน้าตาที่แท้จริงของดาวหางฮัลเลย์ ที่ถ่ายโดยยานอวกาศ Giotto ในปี 1986 ที่ระยะห่างจากดาวหางเพียง 596 กิโลเมตร เป็นครั้งแรกที่เราสามารถบันทึกภาพส่วนที่เป็นนิวเคลียสของดาวหางได้ บอกเลยว่าขอดูไกล ๆ จากโลกเหมือนเดิมน่าจะดีที่สุดแล้ว 😅
เครดิตเพลง : ดาวหางฮัลเลย์ (Halley's Comet)
เครดิตศิลปิน : fellow fellow
ขอขอบคุณ >> ชมคลิป >> ดาวหางฮัลเลย์
เรียบเรียง : ธนกร อังค์วัฒนะ - เจ้าหน้าที่สารสนเทศดาราศาสตร์ สดร.
ขอขอบคุณที่มาข้อมูลจาก : เพจ NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ