6 มิถุนายน 2566 จากกรณี ปุยเมฆ นภสร หรือ 'พญ.นภสร วีระยุทธวิไล' นักแสดงสาวมากความสามารถ ที่มีดีกรีเป็นถึงนักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยรังสิต นอกจากจะทำงานในวงการบันเทิงแล้ว เจ้าตัวก็ได้ทำตามใจฝันหลัง ทุ่มเทตั้งใจเรียนหนักตลอด 6 ปี จนได้เป็นคุณหมอดั่งใจฝัน ก่อนที่จะตัดสินใจยื่นหนังสือขอลาออกจากราชการ พร้อมเล่าประสบการณ์ที่พบเจอ เป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องลาออก ประกาศ "ไม่เป็นข้าราชการก็ไม่ตาย! ขอถอยในอาชีพนี้ จุก!งานในระบบหนักมาก"
กระทั่งต่อมา สาวปุยเมฆ ได้ทวิตอีกครั้ง @PuimekSter มีใจความระบุว่า "ขออนุญาตลบทวิตเรื่องราวที่กำลังเป็นประเด็นอยู่นะคะ เพราะตอนนี้เรื่องเริ่มลามไปถึงพี่ๆstaff ผู้ร่วมงานบางท่าน ซึ่งพี่ๆส่วนใหญ่ที่ได้ทำงานด้วยน่ารัก เราไม่อยากให้ใครต้องมาโดนร่างแหไปด้วยเลย แค่นี้ก็เครียดกันพอแล้ว ขอจบเรื่องราวนี้ ฝากไว้แค่ว่า ระบบมีปัญหาค่ะ คนข้างในเหนื่อยกันมากๆ" งานนี้คนบันเทิงและแฟนคลับให้กำลังใจให้เจ้าตัวมากมาย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ล่าสุด นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงประเด็นที่แพทย์จบใหม่จำนวนมากแห่ลาออก เหตุงานหนักเกินไป ว่า วันนี้ที่กระทรวงจะมีการแถลงข่าว ซึ่งจะมีการนำเสนอข้อมูลในภาพรวม เหตุการณ์ที่พี่น้องประชาชนให้ความสนใจ ส่วนยอดแพทย์จบใหม่ที่ลาออกจากราชการมีเท่าไหร่นั้น ขอให้เราฟังการแถลง เพราะมีรายละเอียดตัวเลขค่อนข้างเยอะ
เมื่อถามว่านโยบายไม่รับแพทย์จบใหม่เป็นอย่างไร นพ.โอภาส ถามกลับว่า มีนโยบายดังกล่าวด้วยหรือ มีแต่อยากรับเพิ่ม แต่ผู้อนุมัติ ให้รับหรือไม่คือ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ. และรัฐบาล พร้อมย้ำว่าความต้องการของประชาชนในการเข้ารับบริการด้านสาธารณสุขมีสูง
โดยเฉพาะหลังสถานการณ์การแพร่ราดระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่กระทรวงมี บุคลากรจำกัด ต้องขอบคุณพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมาได้อนุมัติบุคลากรตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นต้นมา จำนวนกว่า 45,000 อัตรา ทำให้ความกดดันด้านบุคลากรลดลง แต่ยังไม่หมดเนื่องจากความต้องการของประชาชนมีเยอะ
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาด้านงบประมาณจาก สปสช. ซึ่งให้แบบเหมาจ่ายรายหัว จึงหวังว่าจากนี้จะได้งบประมาณเพิ่มขึ้นให้เท่ากับจำนวนผู้มาใช้บริการ จะสังเกตได้ว่า ทุกอย่างอยู่นอกกันควบคุมของกระทรวงสาธารณสุข ที่ผ่านมาพยายามใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด มาบริการให้กับประชาชน ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน จึงต้องขอขอบคุณ แพทย์พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน ที่เสียสละทุ่มเทเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีที่สุด
ส่วนหลังจากนี้จะเกิดภาวะสมองไหลทางการแพทย์หรือไม่นั้น ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า จากนี้คงต้องใช้มาตรการในรายภาคส่วน เพราะบุคลากรจะอยู่ได้ ส่วนหนึ่งมาจากค่าตอบแทน ซึ่งจะต้องมีการเปรียบเทียบกับภาคเอกชน ทางกระทรวงจึงได้เพิ่ม ค่าตอบแทนในส่วนของค่าทำงานล่วงเวลา และสร้างบ้านพัก สวัสดิการให้กับบุคลากรทางการแพทย์อย่างเพียงพอ รวมถึงเรื่องความก้าวหน้าทางวิชาชีพ มีการปรับเลื่อนระดับแพทย์ เป็น ซี 9 เป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับพยาบาลมีการพิจารณาปรับเลื่อนระดับเป็น ซี8-ซี9 ตามระเบียบของก.พ.
ส่วน ปัญหาเรื่องเนื้องาน น่าจะเป็นส่วนที่แก้ยากที่สุด เนื่องจากมีความต้องการค่อนข้างมาก แต่หากได้งบประมาณเพิ่มขึ้นทรัพยากรบุคคลเพิ่มขึ้นก็เชื่อว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ตามลำดับ เบื้องต้นได้กำชับ เรื่องการดูแลสวัสดิการ และภาระงานไม่ให้หนักเกินไป ซึ่งเมื่อดูจากตัวเลขพบว่าภาระงานเริ่มลดลง มีเพียงบางจุดที่ยังมีปัญหา โดยเฉพาะในส่วนของ โรงพยาบาลศูนย์ทั่วไปในตัวเมือง จะมีภาระงานมากกว่าโรงพยาบาลประจำอำเภอ แต่ก็ต้องแก้เป็นจุดๆไป โดยยึดนโยบายว่า ในพื้นที่จังหวัดเดียวกันแต่ละโรงพยาบาลสามารถเคลื่อนย้ายบุคลากรใช้ร่วมกันได้ แต่โดยภาพรวมถือว่าดีขึ้น
เมื่อถามว่าเบื้องต้นจะแก้ไขปัญหาแค่จดหมายลาออกได้อย่างไร นพ.โอภาส ระบุว่า ในภาพรวมบุคลากรที่รับเข้าระบบ แต่ละปีประมาณ 2,000 คน ที่ลาออกส่วนหนึ่งเป็นแพทย์เพิ่มพูนทักษะ เมื่อเรียนจบแล้ว บางคนอยากจะไปเรียนต่อ ประมาณ 10% ต่อปี แต่ยังมีบุคลากรที่กลับเข้ามาในระบบสัดส่วนที่สูงกว่า ยืนยันว่าหากบุคลากรยังทำงาน ต่อ การกระทรวงบรรจุเข้าสู่ระบบราชการเกือบทุกคน แต่บางครั้ง แค่ที่ไม่ได้เข้าระบบใช้ทุน เช่นแพทย์ที่จบจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่ก็จะไม่อยู่ต่อ