svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

สุดอันตราย แพทย์ย้ำ กิน"ค้างคาว"แม้ปรุงสุก ก็เสี่ยงรับสารพัดเชื้อโรค

แพทย์ เตือนเปิบ "ค้างคาว" สุดอันตราย แม้นำมาปรุงสุกก็เสี่ยงได้รับเชื้อโรค เผยนักวิจัยเก็บตัวอย่างสัตว์ป่า ยังต้องสวมชุดป้องกันเต็มพิกัด ย้ำสัตว์ป่าทุกชนิดไม่ควรสัมผัส หรือบริโภค ย้ำค้างคาวบินสูง ไม่น่าจับมากินได้ง่าย ถ้าจับได้อาจตกลงมากับพื้น แสดงว่าอาจป่วย

10 พฤศจิกายน 2565 ความคืบหน้ากรณีเปิดพิศดาร กินค้างคาว พูกเปิดเผยจาก "หมอแล็บแพนด้า" ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์ชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก "หมอแล็บแพนด้า" เตือนกรณีคุณครูสาวรายหนึ่ง ทำคอนเทนต์ท้าลองเมนูสุดสยองรับประทาน “ค้างคาว” ทำให้ประชาชนเกิดความกังวลว่าอาจจะเกิดโรคระบาดแปลกๆ ได้ อย่างที่เคยเกิดโรคโควิด-19

ล่าสุด สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 10 (อุดรธานี) เร่งรวบรวมหลักฐานเข้าแจ้งความสาวคอนเทนต์กินค้างคาวที่ สภ.โพนนาแก้ว จ.สกลนคร แล้ว เบื้องต้นทราบว่าเป็นค้างคาวเพดานเล็ก  ซึ่งอยู่ในบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง ถ้าพิสูจน์ชัดเจนผู้โพสต์คลิปกินซุปค้างคาวจะเข้าข่ายล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง จะมีความผิดโทษจำคุก 1 ปีปรับ 1 ล้านบาท และถ้าครอบครองซากสัตว์ป่าโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 500,000 บาท ตามข่าวที่เสนอไปก่อนหน้านี้ 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :


สุดอันตราย แพทย์ย้ำ กิน"ค้างคาว"แม้ปรุงสุก ก็เสี่ยงรับสารพัดเชื้อโรค

ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ให้ข้อมูลถึงการบริโภคค้างคาว ว่า สำหรับการเข้าป่าไปหาของแปลก สัตว์แปลกมารับประทานมีอันตรายอย่างแน่นอน โดยสัตว์ที่อยู่ตามธรรมชาติเป็นแหล่งรังโรคที่มนุษย์ยังไม่เคยสัมผัส ซึ่งบางชนิดก็ติดเชื้อจากสัตว์มาสู่คนได้ โดยเฉพาะค้างคาวที่มีไวรัสเยอะมาก เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคอีโบล่า(Ebola) ไวรัสนิปาห์ (Nipah virus) ทื่ทำให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบ รวมถึงไวรัสโคโรน่า(Corona virus) ที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 ได้ด้วย และอีกหลายตัว 


ดังนั้น ไม่ควรไปสัมผัสกับค้างคาว เพราะสัตว์รังโรค มักไม่แสดงอาการป่วย เราจึงไม่แนะนำให้กินค้างคาวและสัตว์ป่าทุกชนิด เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อไวรัสตั้งแต่ขั้นตอนการเข้าไปจับ อย่างค้างคาวที่อยู่ในถ้ำ เป็นระบบปิด อยู่กันเป็นกลุ่มก้อน ขับถ่ายอยู่ถ้ำ ก็มีโอกาสสัมผัสเชื้อได้ เพราะเจอว่ามีเชื้อไวรัสโคโรน่าที่อยู่ในปัสสาวะค้างคาว แต่ยังไม่กระโดดมาคน แต่วันหนึ่งถ้าไวรัสเก่งขึ้น ก็กระโดดมาคนได้

 

ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

ที่ผ่านมามีรายงานพบเชื้อโรคฮิสโตพลาสโมซิส (Histoplasmosis) ทำให้เกิดเชื้อราในคนที่เข้าไปในถ้ำค้างคาว เกิดภาวะปอดอักเสบ ส่วนก่อนจะนำค้างคาวมาปรุงสุก ก็ต้องผ่านขั้นตอน เช่น ถลกเนื้อ ล้างเนื้อ ซึ่งก็มีการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของค้างคาว

“ปัญหาของโรคที่มาจากสัตว์ป่าจะพบในแอฟริกาเยอะ เพราะเป็นประเทศที่ไม่ได้เลี้ยงไก่ หมูเหมือนบ้านเรา เขาก็จะล่าสัตว์ป่ามากิน แต่บ้านเรามีสัตว์เลี้ยง มีแหล่งอาหารเต็มไปหมด จึงไม่ควรไปยุ่งกับสัตว์ป่า” ผศ.นพ.โอภาส กล่าว

 

ส่วนขณะนี้มีสัญญาณเกี่ยวกับโรคที่มาจากสัตว์ป่าหรือไม่  ผศ.นพ.โอภาส กล่าวว่า ทาง รพ.จุฬาฯ ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กว่า 10 ปี เพื่อสำรวจสัตว์ป่า ดูว่ามีโอกาสเกิดเชื้อไวรัส หรือโรคอะไรที่กระโดดมาคนหรือไม่ ส่วนหนึ่งเราสำรวจค้างคาวในไทย ก็พบว่าเชื้อคล้ายกับไวรัสซาร์สโคฟ (Sars-CoV) เพียงแต่ยังไม่กระโดดจากสัตว์มาคน แต่หากวันหนึ่งที่ไวรัสพร้อม ก็อาจทำให้เกิดโรคได้ ดังนั้น ก็จะมีความเสี่ยง ซึ่งจริงๆ พบได้มาก อย่างที่ประเทศลาวมีรายงานใกล้เคียงกับไทย


ผศ.นพ.โอภาส กล่าวถึงการทำคอนเทนต์กินค้างคาว ว่า เป็นสิ่งไม่ควรทำ เพราะมีโอกาสจะที่ปนเปื้อนเชื้อโรคได้ ขนาดนักวิจัยที่ไปเก็บตัวอย่างสัตว์ป่า ยังต้องสวมชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ซึ่งคนทั่วไปแทบไม่มีอุปกรณ์ป้องกันเลย ฉะนั้น ก็เสี่ยงอันตรายได้ รวมถึงการกินอาหารไม่สุกก็มีโอกาสติดเชื้อโรคทั้งแบคทีเรียและไวรัส ดังนั้น สัตว์ป่าทุกอย่างเราต้องปล่อยเขาอยู่ในป่า ไม่ควรสัมผัส หรือบริโภค

ค้างคาวเพดานเล็ก ภาพจากเพจ "Princess Maha Chakri Sirindhorn Natural History Museum"


ด้าน นพ.จักรรัฐ พิทยาวงค์อานนท์  ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข  กล่าวว่า พฤติกรรมการรับประทานค้างคาว ถือว่าไม่ควรรับประทาน เนื่องจากค้างคาวเป็นสัตว์ป่า และปกติมีคลื่นโซนาร์ในตัว ประกอบกับเป็นสัตว์ที่บินสูง ไม่น่าที่จะจับมารับประทานได้ง่าย  ถ้าจับได้ง่าย หรือตกลงกับพื้น แสดงว่าค้างคาวตัวนั้นอาจเป็นโรค  การติดเชื้อจากค้างคาวก็เหมือนกับการติดเชื้อไข้หวัดนก  ที่ไม่ได้เป็นการติดเชื้อจากรับประทาน เพราะการปรุงสุกเชื้อก็ตายหมด  แต่เป็นการติดเชื้อระหว่างการปรุงมากกว่า เพราะขั้นตอนการปรุง ต้องจับถอนขน สัมผัสสารคัดหลั่ง ก็อาจเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อทั้งไวรัส และแบคทีเรีย


เชื้อไวรัสอันดับที่ 1 ที่จะพบได้ในค้างคาว ได้แก่ นิปาห์ไวรัส  (Nipah) รองลงมา โคโรนาไวรัส   ซึ่งการติดเชื้อนิปาห์ไวรัส นั้น เคยมีการเกิดขึ้นในประเทศมาเลเซีย  และมีคนเสียชีวิต โดยค้างคาวไปแพร่เชื้อในหมู และคนก็ติดเชื้อจากหมู  โดยลักษณะหมูเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ก็มีความคล้ายกับคน ดังนั้น ไม่จำเป็นอย่าไปรับประทาน  กินอย่างอื่นดีกว่า  เพราะปกติลำพังมูลค้างคาวก็สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจได้

นพ.จักรรัฐ พิทยาวงค์อานนท์  ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค