svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

กทม.เปิดแผนรองรับสังคมสูงวัย โจทย์ใหญ่ดึงคนรุ่นใหม่ร่วม

23 สิงหาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"ชัชชาติ”เปิดแผนรองรับสังคมสูงวัยกว่าล้านคนใน กทม.โจทย์ใหญ่ต้องดึงคนรุ่นใหม่ กลับเข้ามาร่วมขับเคลื่อนเมือง ระบุนโยบายกทม.ต้องเน้นระบบเส้นเลือดฝอยศูนย์สาธารณสุขชุมชนให้แข็งแรง เชื่อมโยงกับระบบ รพ.11 แห่ง เดินหน้า 9 นโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงวัยได้ทุกมิติ

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวปาฐกถาพิเศษ เวทีสัมมนา Health & Wealth Forum : สร้างสุขก่อนสูงวัย อยู่ดี สุขภาพดี การเงินดี จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ เนชั่นทีวี และสปริงนิวส์ 

 

เริ่มต้นด้วยนโยบายผู้สูงอายุในกทม.ที่ผู้ว่าฯ กทม.ให้ข้อมูลจำนวนประชากรที่ กทม.ต้องเตรียมแผนรองรับสังคมผู้สูงวัยว่า กทม.เข้าสู่สังคมสูงอายุสมบูรณ์แบบ ตัวเลขสัดส่วนผู้สูงอายุ 21.68% หรือ 1,194,171 คน จากประชากรทั้งหมด 5,508,836 คน 

 

สถานการณ์ใน กทม.จำนวนประชากรลดลงเรื่อยๆ แต่ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยพบว่าผู้สูงอายุอยู่ใน กทม.มากขึ้น ซึ่งสวนทางกับวัยรุ่น ซึ่งผู้สูงอายุติดอยู่ในกทม.เยอะขึ้น เพราะไปไหนไม่ได้ ติดหมอ ขณะที่ลูกหลานหนีออกจากกรุงเทพฯ อาจเป็นเพราะมีทางเลือกมาก อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ต่อไปใครจะจ่ายภาษีดูแลผู้สูงอายุ เพราะจริงๆ แล้วคนที่มีกำลังในการจ่ายภาษีคือคนรุ่นใหม่ 

 

ฉะนั้น สิ่งที่ท้าทายที่สุดของเมืองในอนาคต และเป็นโจทย์ใหญ่ของทุกเมืองในโลก คือ จะดึงคนเก่ง วัยรุ่น คนรุ่นใหม่ให้อยู่ในเมืองได้อย่างไร ไม่ให้หนีออกจากเมืองไป เป็นโจทย์ที่ กทม.ต้องคิด เพราะฉะนั้นคนเก่ง คนที่มีประสิทธิภาพ เขาเลือกที่จะอยู่ที่ไหนก็ได้ ดังนั้นหน้าที่หลักของเมือง คือทำคุณภาพชีวิตให้ดี เพื่อดึงคน มาขับเคลื่อนเมือง เพื่อดูแลผู้สูงอายุด้วย
กทม.เปิดแผนรองรับสังคมสูงวัย โจทย์ใหญ่ดึงคนรุ่นใหม่ร่วม

กทม.เปิดแผนรองรับสังคมสูงวัย โจทย์ใหญ่ดึงคนรุ่นใหม่ร่วม

ผู้ว่าฯ กทม.ยังได้ยกตัวอย่างเขตเมืองชั้นใน ที่มีตึกห้องแถว มีผู้สูงอายุอยู่อาศัย ขณะที่ลูกหลานแยกตัวออกไปอยู่ที่อื่นและมาดูแลเป็นบางช่วง  

 

แนวคิด นโยบายของ กทม.จะทำอย่างไร ต้องดูภาพรวมด้านสาธารณสุข ซึ่งตนขอเปรียบระบบ กทม.เป็นเส้นเลือดใหญ่คือเมกะโปรเจกต์ต่างๆ และเส้นเลือดฝอยคือสิ่งต่างๆ ในชุมชน ซึ่งระบบจะไม่สมบูรณ์ หากทั้ง 2 ส่วนไม่ไปด้วยกัน ระบบสาธารณสุขก็เช่นกัน จะแบ่งโครงสร้างระบบบริการสุขภาพเป็น 3 ระดับ คือ ตติยภูมิ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง โรงพยาบาล(รพ.)ระดับมหาวิทยาลัยแพทย์ ทุติยภูมิ โรงพยาบาลทั่วไปใน กทม. และปฐมภูมิ คือ ศูนย์สาธารณสุข ศูนย์สุขภาพชุมชน ซึ่งเป็นเส้นเลือดฝอย  

 

ผู้สูงอายุ ต้องการระดับปฐมภูมิ แต่ปัจจุบันเส้นเลือดฝอยเราอ่อนแอ ทำให้ไม่มีใครไว้ใจศูนย์สาธารณสุข เวลามีปัญหาก็วิ่งไปที่ รพ.ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ ทำให้ระบบไปโอเวอร์โหลดที่ รพ.ใหญ่ ซึ่งปัจจุบันก็มี รพ.ผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ที่บางขุนเทียน อยู่ชานเมืองเพราะได้รับบริจาคที่ดิน แต่ระบบขนส่งยังไปไม่ถึง จึงต้องปรับปรุง

 

ขณะที่ศูนย์บริการสาธารณสุข ผู้ว่าฯกทม.หยิบยกตัวอย่างศูนย์ 41 คลองเตย มีเจ้าหน้าที่ 82 คน แต่ต้องดูแลคนกว่า 1 แสนคน เมื่อเผชิญโควิด ด่านหน้าคือศูนย์เส้นเลือดฝอยเหล่านี้จึงแตก พังหมด และที่เล็กยิ่งกว่าคือ ศูนย์สุขภาพชุมชน ที่มีอาสาสมัครสาธารณสุข(อสส.)อยู่ และทำได้แค่แจกยา 6 ชนิด ซึ่งสภาพเช่นนี้ จึงดูแลผู้สูงอายุไม่ได้ ฉะนั้นจึงต้องปรับปรุงมุ่งทำให้เส้นเลือดฝอยเหล่านี้แข็งแรงขึ้น 

กทม.เปิดแผนรองรับสังคมสูงวัย โจทย์ใหญ่ดึงคนรุ่นใหม่ร่วม

สำหรับโรงพยาบาล กทม.มี 11 แห่ง เทียบกับ รพ.ทั้งหมดในกทม.คือแค่ 10% ขณะที่ศูนย์บริการสาธารณสุขเริ่มกระจายให้มากขึ้น มี 69 แห่ง และสาขาอีก 77 แห่ง การทำให้เข้มแข็งขึ้น จึงต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่นศูนย์ฯ เหล่านี้มีข้อจำกัดเพิ่มหมอได้ยาก ใช้เทเลเมด ในการพบหมอ ฯ

 

นายชัชชาติ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับวิสัยทัศน์การทำให้ กทม.เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เป็น Portion ใหญ่ของเมืองที่ต้องดูแลผ่านนโยบาย 9 ด้าน คือ สิ่งแวดล้อม สุขภาพ การเดินทาง ความปลอดภัย บริหารจัดการ โครงสร้าง เศรษฐกิจ สร้างสรรค์ และการเรียนรู้ ทุกมิติเกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุทั้งหมด 

 

ผู้ว่าฯ กทม.ระบุว่า นโยบายต่างๆ ที่เน้นเส้นเลือดฝอย จะเชื่อมไปสู่ผู้สูงอายุทั้งสิ้น ทั้งการเพิ่มพื้นที่สาธารณะ ทำสวนให้อยู่ใกล้บ้าน เพราะสุขภาพดีเป็นสิ่งสำคัญ การดูแลป้องกัน สำคัญไม่น้อยกว่าการรักษา ข้อมูลจากงานวิจัยของ ABCD Centre 2563 พบว่า ค่าใช้จ่ายการดูแลผู้สูงอายุติดบ้าน 120,000 บาทต่อปี ยังไม่นับรวมค่าเสียโอกาสของผู้ดูแล และค่าใช้จ่ายดูแลผู้สูงอายุติดเตียง 230,000 บาทต่อปี ดังนั้นหากเราดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีได้ จะไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายตรงนี้ 

 

"ตรงนี้เป็นภาระหนักของเมืองในอนาคต ระบบบัตรทอง จะไปรอดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้สูงอายุสุขภาพดีหรือไม่ หลักง่ายๆ อยากให้ผู้สูงอายุติดเพื่อนมากกว่า ไม่อยากให้ติดบ้าน ติดเตียง” 

 

ผู้ว่าฯ กทม. ยังระบุถึง ค่าใช้จ่ายของประเทศไทย ในการดูแลระยะยาวที่บ้าน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นในอนาคต  จำนวน 6 หมื่นล้านบาทในปี 2560 จะเพิ่มเป็น 3.4 แสนล้านบาทในปี 2590 จากงบ 3 ล้านล้านบาท (รายงาน ระบบประกันการดูแลระยะยาว ระบบที่เหมาะสมกับประเทศไทย : 2560 ทีดีอาร์ไอ) 

 

ดังนั้น การลดโอกาสการติดบ้านติดเตียง คือระยะทางเฉลี่ยที่คนกทม.เข้าถึงพื้นที่สีเขียวที่ใกล้ที่สุด คือ 4.5 กิโลเมตร เพิ่มการเข้าถึง สวนลุมพินี สวนจตุจักร อุทยานเบญจสิริ ซึ่งเปิดเช้าขึ้นเป็น 04.30 น. และขยายเวลาปิดเป็นเวลา 22.00 น. มีชมรมผู้สูงอายุ 189 กลุ่ม/ชมรม ทั้งหมด 15,653 คน และ 18 เขตยังไม่มีชมรมผู้สูงอายุ ก็ต้องเพิ่มให้ครบ

 

จัดกิจกรรม ฝึกอาชีพ หนังกลางแปลง ดนตรีในสวน ทำคลังปัญญาผู้สูงอายุ เพื่อให้แชร์ประสบการณ์กับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้ผู้สูงอายุรู้สึกชีวิตมีคุณค่า บริหารทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ โดยเน้นศูนย์บริการสาธารณสุข และศูนย์สุขภาพชุมชน ในระดับปฐมภูมิ มีระบบเทเลเมดิซีน ลงชุมชนให้เข้าถึงผู้สูงอายุได้ง่ายขึ้น 

 

เนื่องจาก กทม.เป็นเจ้าของเตียงเพียง 11% ของเตียง รพ.ทั้งหมดในกรุงเทพฯ ดังนั้นจึงเน้นในระดับปฐมภูมิ โดยทำแซนบ็อกซ์ 2 แห่ง คือ “ดุสิตโมเดล” เขตดุสิต เขตพระนคร เขตบางซื่อ และเขตบางพลัด หลักการคือ ให้มี รพ.ศูนย์ และศูนย์สาธารณสุข เชื่อมโยงกัน ใช้ระบบเทเลเมดิซีนลงสู่ชุมชน มีรถพยาบาล เพื่อเข้าถึงผู้สูงอายุได้มากขึ้น  โดยเชื่อมโยงผู้ป่วยและศูนย์บริการสาธารณสุข 7 แห่ง คลินิกชุมชนอบอุ่นอีก 4 แห่ง รวมถึงเทคโนโลยี

 

รวมถึง "ราชพิพัฒน์โมเดล" ประกอบด้วย เขตทวีวัฒนา บางแค หนองแขม ภาษีเจริญ และตลิ่งชัน โดยสร้างเป็น Excellent เวชศาสตร์เขตเมือง ดูแลโรคสำหรับคนเมือง มีระบบสนับสนุนเวชศาสตร์เขตเมือง (ระบบช่วยเหลือดูแลคนเมือง) และศูนย์เวชศาสตร์เขตเมืองราชพิพัฒน์ เพื่อการฟื้นฟูและดูแลผู้ป่วยประคับประคอง กทม.

 

ขณะเดียวกัน ยังมีนโยบายอาสาสมัครเทคโนโลยีประจำชุมชน ให้เด็กรุ่นใหม่ที่เก่งเทคโนโลยี อยู่ในคณะกรรมการชุมชน คอยสอนเทคโนโลยีให้กับผู้สูงอายุ ให้สามารถออนไลน์คุยกับแพทย์ได้ ไม่ต้องเดินทางไกลมาถึงศูนย์สาธารณสุข หรือโรงพยาบาล และมีการทำระบบโลจิสติกส์ส่งยา รับจากศูนย์หรือชุมชนเข้ามาส่วนกลางได้ ซึ่งระบบเทเลเมดิซีนเริ่มทำแล้วที่ราชพิพัฒน์ 

 

นอกจากนี้ ยังมีโครงการโรงพยาบาลหมื่นเตียง โดยใช้เตียงที่บ้านส่วนหนึ่งของระบบสาธารณสุข เชื่อมโยงแพทย์เข้าไปเยี่ยม ให้อาสาสมัคร และเทคโนโลยีเข้าไปช่วยดูแล และมีรถที่สามารถทำเทเลเมดิซีนได้ โดยมีเครื่องวัดสัญญาณชีพ เชื่อมต่อกับแพทย์ได้

กทม.เปิดแผนรองรับสังคมสูงวัย โจทย์ใหญ่ดึงคนรุ่นใหม่ร่วม

“ทั้งหมดเป็นภาพรวมของ กทม. เราเน้นเส้นเลือดฝอย และใช้เทคโนโลยีเข้าไปช่วยเพื่อให้การทำงานสามารถเข้าถึงผู้สูงอายุได้มากขึ้น” 

 

ผู้ว่าฯ กทม.ยังแบ่งปันเรื่องการดูแลสุขภาพด้วยว่า หลักการของคนรุ่นใหม่ คือต้องดูแลทั้ง Health & Wealth เพราะสิ่งที่จะเปลี่ยนสุขภาพได้คือนิสัยและพลังใจ 
 

logoline