
1. จำนวนคนจน คนเปราะบาง ที่วัดโดยเส้นความยากจน มีทิศทางลดลง ส่วนระดับความรุนแรงกลับเพิ่มขึ้น
• ปี 2559 มีจำนวนคนยากจน 4.8 ล้านคน (คิดเป็น 7.21 % ของประชากร) , ปี 2560 จำนวน 5.3 ล้านคน ( 7.87 % ), ปี 2561 จำนวน 6.7 ล้านคน (9.85 %), ปี 2562 จำนวน 4.3 ล้านคน(6.24%), ปี 2563 จำนวน 4.8 ล้านคน(6.84%)
• ในกลุ่มคนที่ยากจนมาก (ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 80% ของเส้นความยากจน) แม้เศรษฐกิจประเทศในปี 2561 เติบโตสูงถึง 4.1 % แต่จำนวนประชากรที่อยู่ใต้เส้นยากจนกลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ยากจนมากเพิ่มขึ้นกว่า 8.4 แสนคน ภายในปีเดียว
• อัตราความยากจนของประเทศไทยเคยเพิ่มขึ้นมาแล้ว 3 ครั้งในปี 2541 ปี 2543 และปี 2551 ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมๆกับวิกฤติการณ์ทางการเงิน และมาเพิ่มสูงขึ้นอีกระลอกตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา
ที่มา : ข้อมูลจากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน สำนักงานสถิติแห่งชาติ ประมวลผลโดยกองพัฒนาข้อมูลและตัวชี้วัดสังคม สศช.
2. คนจนเข้าถึงสวัสดิการภาครัฐได้เพิ่มขึ้น
• ในปี 2560-62 กระทรวงการคลังดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาความยากจน ผ่านโครงการบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคมภายใต้โครงการ e-Payment ภาครัฐ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของการจัดสวัสดิการสังคมและการให้ความช่วยเหลือของรัฐ มีผู้ลงทะเบียนจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 14.6 ล้านคน รัฐบาลใช้งบประมาณไปทั้งหมด 7.75 หมื่นล้านบาท
• คนจนที่มีสิทธิในการเบิกค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลครอบคลุมถึงร้อยละ 97.70 ผ่านบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 46.05 (ปี 2562) เป็นร้อยละ 51.10 (ปี 2563) เช่นเดียวกับผู้สูงอายุยากจนและผู้พิการยากจนที่มีสัดส่วนการได้รับเบี้ยยังชีพเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 87.46 และร้อยละ 73.12 (ปี 2562) เป็นร้อยละ 90.39 และร้อยละ 76.92 (ปี 2563) ตามลำดับ
• การเข้าถึงบริการพื้นฐาน คนจนส่วนใหญ่เข้าถึงไฟฟ้า(ร้อยละ 99.01) น้ำประปา(ร้อยละ 89.20) โทรศัพท์เคลื่อนที่(ร้อยละ 66.77) แต่ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต(ร้อยละ45.37)
3.สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำ
• ความเหลื่อมล้ำด้านรายจ่ายมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค (Gini coefficient) ด้านรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นในกลุ่มประชากรส่วนบน ขณะที่กลุ่มประชากรที่มีฐานะทางเศรษฐกิจต่ำมีรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคลดลงจากการสูญเสียรายได้และความเปราะบางทางการเงิน
• ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้และการถือครองทรัพย์สิน ปี 2560 กลุ่มประชากร Top 10 มีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือน 33,933 บาท ถือครองรายได้รวมร้อยละ 35.29 ของรายได้ทั้งหมดของประเทศ. ส่วนกลุ่มBottom 40 มีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือน 3,408 บาท ซึ่งมีความแตกต่างของรายได้ 9.96 เท่า
• การถือครองทรัพย์สินทางการเงิน ในปี 2560 กลุ่มครัวเรือน Bottom 40 ถือครองทรัพย์สินทางการเงินที่ 12.7 % ของสินทรัพย์ทางการเงินทั้งหมด โดยจะสะสมสินทรัพย์ในรูปของเงินสด เงินฝากธนาคาร ทอง อัญมณี. ในขณะที่กลุ่มประชากร Top 60 จะสะสมสินทรัพย์ในรูปพันธบัตร หุ้นกู้ ตราสารทุน และกองทุนรวม ซึ่งมักให้ผลตอบแทนที่ดีและจะนำไปสู่การสะสมความมั่งคั่งได้รวดเร็วกว่า อาจส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำเพิ่มสูงขึ้นในระยะต่อไป
• ความเหลื่อมล้ำด้านเงินออม กลุ่มประชากร Top 10 มีเงินฝากรวมถึง 93 % ของเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด ผู้ฝากที่เงินในบัญชีต่ำสุด มีค่ากลางเงินฝากที่ 1,992.10 บาท ขณะที่ผู้ฝากที่มีเงินในบัญชีสูงสุด มีค่ากลางเงินฝากที่ 483,132.50 บาท ผู้ฝาก 32.8% ( 12.2 ล้านคน) มีเงินในบัญชีไม่เกิน 500 บาท มีเพียง 0.2 % ของผู้ฝากเท่านั้นที่มีเงินฝากในบัญชีมากกว่า 10 ล้านบาท
• ความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดิน ปี 2560 มีเอกสารสิทธิที่ดินจำนวน 37 ล้านฉบับ รวมพื้นที่ 128 ล้านไร่ คิดเป็นพื้นที่ 40 % ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ แต่มีคนเพียง 25 % เท่านั้นที่มีที่ดินเป็นของตัวเอง. กลุ่มคนเพียง 5 % ที่เป็นเจ้าของที่ดินมากถึง 80 % ของจำนวนที่ดินทั้งหมด ในขณะที่คนไทยอีกเกือบ 90% มีที่ดินน้อยกว่า 1 ไร่ต่อคน. นอกจากนี้ยังพบว่ามีที่ดินที่มีเจ้าของและถูกทิ้งร้างมากถึง 70 % เกิดความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์
• พื้นที่การเกษตรทั้งหมด 149 ล้านไร่ มีเกษตรกรเพียง 28 % เท่านั้นที่มีที่ดินเป็นของตัวเอง. 27 % ต้องเช่าที่ดิน และอีก 28 % มีที่ดินติดจำนอง. ผู้มีที่ดินทำกินแต่ไม่มีเอกสารสิทธิ์มีจำนวนมากถึง 44 % จึงอาจกล่าวได้ว่า 3 ใน 4 ของเกษตรกรไทยไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง. การขาดแคลนที่ดินทำการเกษตรของเกษตรกรไทย นำมาสู่การบุกรุกที่ดินของรัฐหรือพื้นที่ป่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
• ความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการศึกษามีทิศทางที่ดีขึ้นในเกือบทุกระดับชั้น มีเพียงการศึกษาระดับอนุบาล ซึ่งที่ผ่านมามีแนวโน้มดีขึ้นมาโดยตลอด แต่ในปี 2563 กลับมีอัตราการเข้าเรียนลดลง อยู่ที่ร้อยละ 76.4 ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้ปกครองชะลอการนำบุตรหลานเข้าโรงเรียน
• อัตราการเข้าศึกษาต่อของเด็กที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงที่สุด สูงกว่าอัตราการเข้าศึกษาต่อของเด็กที่มีฐานะทางเศรษฐกิจต่ำที่สุดประมาณ 1.8 เท่าในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และประมาณเกือบ 9 เท่าในระดับอุดมศึกษา สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีแนวโน้มทำให้นักศึกษาโดยเฉพาะในกลุ่มครัวเรือนที่ยากจนมีโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาระดับสูงได้น้อยลง และโอกาสในการหลุดนอกระบบการศึกษาที่เพิ่มขึ้น
• การเข้าถึงสวัสดิการทางสังคม ได้แก่ โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และเบี้ยยังชีพผู้พิการ มีความครอบคลุมเพิ่มมากขึ้น โดยกลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจต่ำได้รับประโยชน์มากกว่ากลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูง
• การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม แม้ว่าจะมีแนวทางในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้ได้รับความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น อาทิ โครงการปล่อยฟรีไม่มีประกัน กองทุนยุติธรรม แต่ค่าใช้จ่ายในกระบวนการยุติธรรมที่สูงและความล่าช้าในการพิจารณาคดีประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานของกองทุนยุติธรรม อาจส่งผลกระทบทางลบต่อความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้