
6 ธันวาคม 2568 ที่จังหวัดลำปาง มีการจัดการแข่งขัน Fashion Hackathon “คลั่งรัก ครั่งลำปาง” ครั้งที่ 2 ที่อาคารศูนย์นันทนาการสร้างสรรค์ “โฮงละกอน” เทศบาลนครลำปาง ซึ่ง “คลั่งรัก” ความหมายตรงๆ เลย คือ รักมาก หลงใหล
ส่วน ”ครั่งลำปาง” หมายถึง “สีย้อมธรรมชาติ” เป็นสีแดงอมชมพู เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดลำปาง สีนี้ได้จาก “แมลงครั่ง” นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะ "ผ้าย้อมครั่ง" ที่กลายเป็นอัตลักษณ์ใหม่ของลำปางไปแล้วในปัจจุบัน ถือเป็น “ทุนวัฒนธรรม” ที่สำคัญอย่างหนึ่งของจังหวัด ในยุคที่รัฐบาลกำลังผลักดันขับเคลื่อน “ซอฟต์พาวเวอร์” ให้เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ของประเทศ
กิจกรรม “คลั่งรัก ครั่งลำปาง” เป็นการเปิดให้นักออกแบบและนักตัดเย็บเสื้อผ้าจากทั่วประเทศ สมัครเข้ามาแข่งขันตัดเย็บ “ผ้าย้อมครั่ง” ให้เป็นเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่อย่างมีสไตล์ในชีวิตประจำวัน หรือจะใช้ใส่ออกงานต่างๆ ก็ได้ ตามแต่ผู้เข้าแข่งขันจะจินตนาการ
โดยความน่าตื่นเต้นอยู่ที่การคัดเลือกนางแบบ และคัดเลือก “ผ้าย้อมครั่ง” โดยไม่ได้วางแผนหรือเตรียมมาก่อน เพราะต้องมาเลือกกันหน้างาน มีเวลาให้แค่ 8 นาที จากนั้นทีมที่เข้าแข่งขันก็ต้องมาระดมสมองออกแบบตัดเย็บชุดกันทันที เพื่อให้เหมาะกับนางแบบของตน ภายในเวลา 24 ชั่วโมง ในรูปแบบ Hackathon เสร็จแล้วก็จะนำไปเดินโชว์บนเวทีที่ “กาดนั่งก้อม” สวนสาธารณะหนองกระทิง เมืองลำปาง ซึ่งเป็นเวทีกลางแจ้ง ในวันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม
รองศาสตราจารย์ ดร.สุพรรณี ฉายะบุตร หัวหน้าโครงการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาเมืองแห่งทุนวัฒนธรรมที่ยั่งยืนและเครือข่ายย่านวัฒนธรรมชุมชน” เล่าว่า กิจกรรมนี้สามารถช่วยอนุรักษ์ “ผ้าย้อมครั่ง” ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของจังหวัดลำปาง ทำให้คนทอผ้ารุ่นแม่รุ่นยายในชุมชนต่างๆ ได้สืบสานงานของตัวเองไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา
จากนั้นเมื่อนำมาต่อยอดจัดเวทีให้นักออกแบบและนักตัดเย็บเสื้อผ้าจากทั่วประเทศมาร่วมกันแข่งขัน สร้างสรรค์ผลงานจากผ้าย้อมครั่ง ก็จะทำให้เกิดการพัฒนาต่อยอด เพราะผืนผ้าได้ถูกนำไปใส่ไอเดียและแฟชั่นยุคใหม่ จึงขยายการรับรู้และขยายตลาดไปได้
อย่างเช่น เวทีประกวดมิสแกรนด์ ก็นำผ้าย้อมครั่งไปตัดเย็บและใช้เดินแบบ เดินแฟชั่นโชว์ ทำให้นางแบบบราซิลสั่งซื้อกลับประเทศ นอกจากนั้นก็มีนายแบบ นางแบบชื่อดังที่เป็นคนลำปางช่วยกันโปรโมตประชาสัมพันธ์ ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดการสร้างเศรษฐกิจจากทุนทางวัฒนธรรม ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ
"อาจารย์สุพรรณี ฝากถึงรัฐบาลที่มีนโยบายขับเคลื่อน “ซอฟต์พาวเวอร์” ให้สนับสนุนทุนทางวัฒนธรรมทั้งกระบวนการ โดยเน้นรากฐานจากงานวิจัย ไม่ควรไปหยิบเฉพาะตัวสินค้าปลายน้ำไปทำอีเวนต์เท่านั้น เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของเศรษฐกิจชุมชนจากรากฐานทางวัฒนธรรมอย่างแท้จริง"
ขณะที่ ดร.ธนภณ วัฒนกุล ผู้เชี่ยวชาญการบริหารงานวิจัยเชิงพัฒนาพื้นที่ด้านทุนทางวัฒนธรรมชุมชน ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัยเรื่อง “ครั่งลำปาง” ด้วย บอกว่า กิจกรรมครั้งนี้จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 2 โดยพัฒนาต่อยอดมาจากฐานงานวิจัยที่ร่วมกันทำมาก่อนหน้านี้หลายปี ฉะนั้นสิ่งที่เห็นจึงไม่ได้เกิดขึ้นอย่างมั่วๆ แต่มาจากฐานของงานวิจัยเรื่องทุนทางวัฒนธรรม ซึ่งต้องมีทั้งการ อนุรักษ์ สืบสาน สร้างสรรค์ และพัฒนาต่อยอด ซึ่งสุดท้ายจะตอบโจทย์สำคัญในเรื่องของ “การหาตลาด” เพื่อให้สินค้าทางวัฒนธรรมสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
ปัจจุบันมีการส่งเสริมทั้งกระบวนการ เพื่อให้เกิด “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” เป็นประโยชน์แก่ชุมชนท้องถิ่นอย่างแท้จริง อย่างที่ลำปาง แม้แต่ “ออร์แกไนเซอร์” ที่จัดงานนี้ ก็ยังเป็นนักบริหารจัดการทุนวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ทางโครงการฝึกขึ้นมา ไม่ได้ใช่ “ออร์แกไนเซอร์” จากกรุงเทพฯ เลย
ทางด้านหนึ่งในผู้เข้าร่วมแข่งขัน เผยความรู้สึกว่า เดินทางมาจากจังหวัดเชียงใหม่ เข้าแข่งขันเป็นปีที่2 เพราะเป็นงานที่น่าสนใจ ตื่นเต้น ต้องสร้างสรรค์แฟชั่นแข่งกับเวลา และรู้สึกหลงรัก “ผ้าย้อมครั่ง” เนื่องจากมีสีสันงดงาม และเนื้อผ้านุ่ม ใส่สบาย
กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของงาน “มหกรรมก๋องปู่จา สวมผ้าย้อมครั่ง” ซึ่งมีพิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อช่วงค่ำของวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม ที่ “กาดนั่งก้อม” สวนสาธารณะหนองกระทิง โดยมีการแสดงการแสดง “ก๋องปู่จาร่วมสมัย” และแข่งขันตีกลองปู่จา ศิลปะพื้นบ้านเมืองลำปาง ของกลุ่มเยาวชนจากอำเภอต่างๆ ในพื้นที่ด้วย
กิจกรรมทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย “การพัฒนาเมืองแห่งทุนวัฒนธรรมที่ยั่งยืนและเครือข่ายย่านวัฒนธรรมชุมชน ระยะที่ 2” ดำเนินงานโดยมหาวิทยาลัยศิลปากร และได้รับการสนับสนุนทุนจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ หรือ บพท. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยความร่วมมือของจังหวัดลำปาง เทศบาลนครลำปาง องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง และภาคีเครือข่ายจากในพื้นที่