18 มีนาคม 2568 ที่หน้าศาลากลางจังหวัดสกลนคร นายกิติชัย สัตตราช ทนายความ รับมอบอำนาจจากประชาชน 2 ราย ซึ่งเป็นสามีภรรยากัน ได้ร้องเรียนและมอบอำนาจให้กับทนายความ เข้ายื่นหนังสือต่อ นายชูศักดิ์ รู้ยิ่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ภายหลังพบความผิดปกติในการปล่อยกู้ยืมเงินกองทุนหมู่บ้าน ใน ต.แห่งหนึ่ง อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร ส่อพิรุธในการนำกองทุนหมู่บ้านมาเบียดบังหาผลประโยชน์กับประชาชนโดยไม่เป็นธรรม
โดยในหนังสือที่ยื่นคำร้องต่อ ผวจ.สกลนคร นั้น มีใจความว่าในปี 2557 ชาวบ้าน 2 สามีภรรยา ได้ไปกู้ยืมเงินกองทุนหมู่บ้าน คนละ 20,000 บาท รวมเป็นเงิน 40,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6 บาท ต่อปี ซึ่งทั้ง 2 ก็ได้ชำระดอกเบี้ย 1.20 บาทต่อปี รวมเป็นเงินดอกเบี้ย 2 สัญญา 2,400 บาทต่อปี และยังจ่ายดอกเบี้ยแบบนี้เรื่อยมา โดยเงินต้นยังคงอยู่เพราะทั้ง 2 คน ไม่มีเงินส่งเงินต้นคืนแก่กองทุนหมู่บ้าน ระหว่างนี้ กองทุนหมู่บ้านได้ดำเนินการหาบุคคลภายนอก หรือนายทุน มาชำระหนี้ให้ โดยเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6 บาท ต่อปี โดยเก็บดอกเบี้ยส่วนนี้ และดอกเบี้ยเงินต้นในคราวเดียวกัน ทั้ง 2 จึงส่งเงินดอกเบี้ยทั้งหมดเป็นเงิน 4,800 บาท ระหว่างนี้ กองทุนหมู่บ้านดำเนินการเปลี่ยนสัญญากู้ยืมใหม่ทุกครั้ง โดยการเปลี่ยนสัญญาใหม่ปีต่อปี
ประเด็นคือ การทำสัญญากู้ยืมเงินครั้งแรกจะต้องเปิดบัญชีธนาคารออมสิน โดยกรรมการกองทุนหมู่บ้านจะเก็บสมุดบัญชีมาโดยตลอด ต่อมาปี 2564 ทั้ง 2 หารือว่าจะชำระเงินต้น 40,000 บาท ที่กู้ยืมมาคนละ 20,000 บาท เพราะทนแบกภาระดอกเบี้ยไม่ไหว แต่ได้รับการปฏิเสธจากกองทุนหมู่บ้าน หากจะชำระทั้ง 2 คน ต้องชำระเงิน 80,000 บาท ดอกเบี้ยอีก 7,200 บาท และเงินฌาปนกิจ 2,800 บาท
เมื่อสอบถามทำไมถึงมียอดเงินสูงขึ้น ได้รับคำตอบว่า มีลูกๆมาขอกู้ยืมเงินในนามพ่อและแม่ จึงหลงเชื่อว่าเป็นจริง เลยทำให้มีการกู้ยืมเงินเพิ่มอีกคนละ 20,000 บาท รวมเป็น 40,000 บาท หมายความว่า ทั้ง 2 คน มีหนี้เพิ่มขึ้นคนละเท่าตัวจากคนละ 20,000 บาท เป็นคนละ 40,000 บาท รวมเป็นหนี้ 80,000 บาท และจ่ายดอกเบี้ยเรื่อยมา
ล่าสุด 3 ก.พ.2568 สองสามีภรรยา ได้สอบถามรายละเอียดเอกสารการกู้ยืมเงินกับกองทุนหมู่บ้าน แต่ไม่ได้รับรายละเอียดกระจ่างหรือชัดเจน จนได้ไปสอบถามข้อมูลจากพัฒนาชุมชนอำเภอเจริญศิลป์ ได้ข้อมูลว่า ฝ่ายภรรยาไม่ปรากฎชื่อสมาชิกในกองทุนแต่อย่างใด ปรากฎแต่ชื่อของสามี ที่กู้ยืมเงินเพียง 40,000 บาทเท่านั้น
นายกิติชัย สัตตราช ทนายความ กล่าวว่า จากการตรวจสอบ น่าจะมีพิรุธในเรื่องดังกล่าวดังนี้
นายกิติชัย กล่าวอีกว่า ในกรณีผู้เสียหายรายนี้ได้รับความเดือดร้อน จะไม่ขอทนต่อพฤติกรรมดังกล่าวอีกต่อไป จะขอทำความจริงให้ปรากฏ เพื่อประโยชน์ของชาวบ้านรายอื่น จึงได้มาร้องเรียนต่อ ผวจ.สกลนคร ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย ซึ่งภายหลัง ผวจ.สกลนคร รับทราบปัญหาดังกล่าวได้ส่งเรื่องให้ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสกลนคร ตรวจสอบข้อเท็จจริงในทันที และให้รีบรายงานให้ทราบเพื่อดำเนินการต่อไป