จากกรณี สาววัย 13-14 ปี ทะเลาะวิวาทตบตีกัน แต่เรื่องไม่จบ เมื่อพ่อแม่อีกฝ่ายไม่ยอม และได้นัดเคลียร์ ท้าดวลกันตัวต่อตัวที่ริมถนนเลียบทางรถไฟ ก่อนถึงซอยสยามคันทรีคลับ ฝั่งขาเข้าสัตหีบ ม.6 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ระหว่างนั้นมีท้าดวลตบตีกัน จนเกิดชุลมุน กระทั่งเกิดเหตุกราดยิงกว่า 10 นัด มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
นัดเคลียร์ปัญหาลูกสาวตบกัน ไม่จบ! กราดยิงถล่มกว่า 10 นัด บาดเจ็บหลายราย
https://www.nationtv.tv/news/region/378955604
3 กุมภาพันธ์ 2568 ช่วงเช้า ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุอีกครั้ง พบว่า ยังมีปลอกกระสุน ขนาด 9 มม. ตกอยู่ในที่เกิดเหตุจำนวน 5 ปลอก ซึ่งคาดว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา ตำรวจยังเก็บไปไม่หมด ขณะที่ ห่างจากจุดเกิดเหตุไปประมาณ 20 เมตร บริเวณร้านอาหารแช่แข็ง พบว่า บริเวณหน้าร้าน และ ตู้เย็นแช่เย็น มีร่องรอยถูกกระสุนยิงได้รับความเสียหาย จำนวน 4 จุด และ ยังพบเศษหัวกระสุนปืน ขนาด 9 มม. กระเด็นกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นจำนวน 2 หัว
นอกจากนี้ ที่บริเวณรถกระบะบรรทุกตู้แช่แข็ง ยี่ห้อโตโยต้า ทะเบียน ชลบุรี ที่บริเวณฝากระโปรงด้านหน้ามีรอยเท้า และรอยคราบเลือด
ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้หลักฐานกล้องวงจรปิด โดยคาดว่าน่าจะเป็นหลักฐานสำคัญว่า ทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีอาวุธปืน โดยจะเห็นว่า ช่วงเวลา 22.05 น. หนึ่งในผู้บาดเจ็บ พยายามถืออาวุธปืนวิ่งหนี ก่อนจะถูกยิงเข้าที่ขาแล้วทรุดไปกับพื้น ก่อนปีนขึ้นไปหน้าฝากระโปรงรถ แล้วพยายามถืออาวุธปืนส่ายไปทาง บริเวณจุดเกิดเหตุ
ขณะที่ภาพจากอีกมุมจะเห็นแสงไฟรถ ทั้งรถเก๋ง และ รถจักรยานยนต์ วิ่งไปมา และมีคนวิ่งไล่กัน โดยทั้ง 2 ฝ่ายมีการก่อเหตุนานกว่า 5 นาที ก่อนจะแยกย้ายกันไป
นายนงค์ นามสมมุติ อายุ 46 ปี เป็นคนงานพักอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุ ให้ข้อมูลว่า ช่วงเวลาประมาณหัวค่ำ ตนเองได้ออกไปซื้อของ เห็นว่ามีกลุ่มวัยรุ่นประมาณเกือบ 10 คน กำลังยืนรวมกลุ่มกันอยู่ แต่ตอนนั้นไม่คิดเอะใจอะไร กระทั่งถัดไปประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงปืนดังกว่าเกือบ 20 นัด แล้วก็มีเสียงคนร้องกรี๊ด เสียงดังสนั่น จึงเดินออกไปดูก็พบว่ามีคนถูกยิง แล้วอยู่ในระหว่างพากันช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาล ส่วนสาเหตุตนเองไม่ทราบมาจากเรื่องอะไร แต่ลักษณะแล้วมองว่าเป็นการรวมตัวกัน เพื่อเคลียร์ปัญหาอะไรกันบางอย่าง
ล่าสุดที่ สภ.หนองปรือ พ.ต.ท. จีรศักดิ์ แอบแฝง สว.( สอบสวน ) เจ้าของคดี ได้รับมอบตัว นายนัท ( นามสมมุติ ) อายุ 36 ปี โดยเจ้าตัวได้เดินทางมาพร้อมกับครอบครัว และมอบตัวกับเจ้าที่ตำรวจด้วยตนเอง พร้อมกับนำอาวุธปืนที่ก่อเหตุมามอบให้กับตำรวจด้วย ในเบื้องต้น เจ้าตัวให้การยืนยันว่าถูกฝ่ายคู่กรณีใช้อาวุธปืนยิงก่อน 2 นัด แต่ยังไม่ขอให้การใดๆ เนื่องจากจะเสียรูปคดี แต่เจ้าตัวพูดตบท้ายว่า
"ที่ทำไปเพราะรักลูก เพราะลูกสาว วัย 14 ปี ถูกผู้ใหญ่ รุมตบ วันนี้แค่ต้องการนัดมาเคลียร์ปัญหา แต่ฝ่ายคู่กรณี สวมใส่เสื้อสีขาว สวมหมวกแก๊ป สาดกระสุนปืนใส่ก่อน จนทำให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย"
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้เห็นแชทการสนทนาของกลุ่มนักเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง มีการพูดท้าทายและบานปลายไปด่าผู้ปกครอง ส่วนสาเหตุในครั้งนี้จากการสอบถามในเชิงลึกทราบว่า นักเรียนมัธยม ซึ่งเป็นเพื่อนกันมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งปัญหาการยืมเงิน ก่อนจะลุกลามไปยังเรื่องราวอื่นๆ ถึงขั้นด่ากันสนั่นใน LINE กลุ่ม ก่อนจะมาเกิดเหตุการณ์นัดตบกัน และบานปลายไปถึงผู้ปกครองนัดเคลียร์ปัญหาก่อนเกิดการสาดกระสุนใส่กัน
เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ เด็กมัธยมมชั้น ม.2 คือ ด.ญ.นา ( นามสมมุติ ) อายุ 13 ปี กับ เพื่อนชื่อ ด.ญ.เฟ( นามสมมุติ - ลูกสาวนายนัท ) อายุ 14 ปี มีเรื่องทะเลาะกัน ถึงขั้นมีการนัดตบกัน ต่อมา เมื่อประมาณ 3-4 วันก่อน เด็กหญิง อายุ 14 ปี ถูกแม่ของเด็กหญิง อายุ 13 ปี มาทำร้าย ที่บ่อปลาแห่งหนึ่ง ในเขตพื้นที่ สภ.บางละมุง ( โดยผู้ปกครองของเด็กหญิงโบว์มีการไปแจ้งความไว้แล้วที่ สภ.บางละมุง ) จากนั้นแม่ของเด็กหญิงโบว์ ได้นัดแม่ของเด็กหญิง อายุ 13 ปี ให้ออกมาเคลียร์ปัญหา โดยนัดตบกันตัวต่อตัว แต่ปรากฏว่าระหว่างที่กำลังเปิดศึกตบตีกัน มีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด ก่อนจะเกิดเหตุการณ์บานปลายมีการใช้อาวุธปืนยิงกันจนได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
เวลา 13.00 น. วันนี้ (3 ก.พ.2568) พ.ต.ท.จีรศักดิ์ แอบแฝง สว.( สอบสวน ) เจ้าของคดี ได้สอบปากคำ นายกิตติศักดิ์ (สงวนนามสกุล) หรือนัท อายุ 36 ปี ผู้ต้องหา (พ่อของเด็กหญิงต้นหอม อายุ 14 ปี) ที่มามอบตัวก่อนหน้านี้ พร้อมของกลางอาวุธปืนออโตเมติกขนาด 9 มม. และสอบปากคำ นายเอกชัย (สงวนนามสกุล) หรือ เปา อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาอีกรายที่มามอบตัวในภายหลัง พร้อมของกลาง อาวุธปืนลูกซองสไลด์ 5 นัด
โดย นายกิตติศักดิ์ หรือนัท ( พ่อของเด็กหญิงต้นหอม อายุ 14 ปี ) เปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า ตนยืนยันว่า ฝ่ายคู่กรณีเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน ตนเองหลบได้จึงยิงสวนกลับไป พออีกฝ่ายวิ่งเสียหลัก ตนจึงวิ่งไปขึ้นรถ ซึ่งตนมั่นใจว่า ที่ตนยิงนั่นยิงโดนแค่ผู้ชายคนเดียว (ผู้ได้รับบาดเจ็บที่ถูกยิงขา) ที่เป็นคนเปิดฉากยิงก่อนเท่านั้น ซึ่งก่อนเหตุการณ์จะเริ่ม ตนเองได้บอกฝ่ายนั้นว่า “ผู้หญิงตบกัน พี่ไม่ต้องมายุ่ง ฝ่ายตนเองก็จะไม่ยุ่งเหมือนกัน ” ส่วนชนวนเหตุคือ ก่อนหน้านี้เด็กทั้ง 2 ฝ่ายนัดตบกัน แต่ฝ่ายเด็กหญิง 13 ปี สู้ไม่ได้ แม่ของเด็กหญิงจึงมารุมทำร้ายลูกสาวของตน ซึ่งตนได้พาลูกสาวไปแจ้งความแล้ว แต่คู่กรณีไม่ยอมมาไกล่เกลี่ย
ด้าน นายโม อายุ 36 ปี ผู้ใหญ่ที่เป็นคนกลางในการเคลียร์ใจกับคู่กรณีทั่ง 2 ฝ่าย เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นคือ เด็กหญิง อายุ 13 ปี กับเด็กหญิง อายุ 14 ปี ( ลูกสาวนายนัท ) มีเรื่องทะเลาะกัน ต่อมาเมื่อประมาณ 3-4 วันก่อน เด็กทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการนัดตบกัน และ เด็กหญิงอายุ 14 ปี ซึ่งเป็นลูกของนายนัท และเป็นหลานของตนเอง กลับ ถูก น.ส.แอม อายุประมาน 26 ปี (แม่ของเด็กหญิง อายุ 13 ปี) จิกหัว และกระทืบที่ใบหน้า เหตุเกิดที่บ่อปลาแห่งหนึ่ง ซึ่งเรื่องของเด็กควรปล่อยให้เด็กเคลียร์กันเอง แต่การที่มีผู้ใหญ่มาทำร้าย ตบตี กระทืบ และเหยียบหน้าเด็ก เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ “ หากลูกหลานใครโดนแบบแบบคงรับไม่ได้เช่นกัน ”
จากนั้น จึงได้นัดแม่เด็กของทั้ง 2 ฝ่าย มาเคลียร์กัน ที่บริเวณจุดเกิดเหตุ เมื่อมาถึงจึงตกลงกันว่า แม่เด็กของทั้ง 2 ฝ่ายจะตบกันตัวต่อตัว โดยตนเองและนายนัท ได้บอกกล่าว ห้ามผู้ชายฝั่งคู่กรณีว่าไม่ควรมายุ่งเกี่ยว ฝ่ายตนก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวเช่นกัน และปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้หญิง แต่พอฝ่ายหญิงเริ่มตบกัน ผู้ชายฝั่งเด็กหญิงอายุ 13 ปี สวมเสื้อสีขาวหมวกสีเขียว (คนเจ็บถูกยิงเข้าที่ขาขวา 1 นัด) ได้ชักอาวุธปืนขึ้นมาจ่อ นายนัท ก่อนเปิดฉากยิง 2 นัด นายนัทจึงชักอาวุธปืนยิงสวนกลับไป เหตุการณ์จึงบานปลาย และชุลมุน จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บตามคลิปวิดีโอ ซึ่งเชื่อว่า หลังจากฝ่ายชายเสื้อขาว เปิดฉากยิงก่อน 2 นัด ระหว่างวิ่งหลบ อาจจะมีการยิงสวนกลับมาอีกหลายนัด ซึ่งตรวจสอบจากปลอกกระสุนคงจะทราบได้
ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหลายรายนั้น อาจจะเกิดจากกระสุนปืนของชายเสื้อขาว ก็เป็นไปได้เช่นกัน ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบคลิปวิดีโอเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุพบว่า ระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายตบตีกันจนเหตุการณ์ชุลมุน ได้มีเสียงปืนดังขึ้นก่อน 2 นัด ก่อนจะมีเสียงสไลด์ปืนลูกซองดังขึ้น ซึ่งจากคลิปวิดีโอนี้เป็นไปได้ว่า ฝ่ายของเด็กหญิง 13 ปี เป็นคนเปิดฉากยิงก่อนจริง
เบื้องต้น ภายหลังการสอบปากคำ พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าว ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น และข้อหาเกี่ยวกับ พ.ร.บ.อาวุธปืน โดยผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ใช้หลักทรัพย์คนละ 300,000 บาท ยื่นประกันตัว เพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาลต่อไป
ต่อมา เวลา 14.00 น. นางสาวกิ๊ฟ ( นามสมมุติ ) อายุ 33 ปี แม่ของน้องอายุ 14 ปี และ เป็นภรรยา นายกิตติศักดิ์ ทองเพชร หรือนัท อายุ 36 ปี ( ผู้ต้องหาที่เข้ามอบตัวกลับตำรวจก่อนหน้านี้ ) เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ ต้นเรื่อง เป็นเรื่องราวของเด็กทะเลาะกัน โดยลูกสาวของตนและกลุ่มเพื่อน ได้ไปมีปัญหากับ ด.ญ. อายุ 13 ปี ลูกสาวของฝั่งคู่กรณี แต่ปรากฏว่าลูกสาวของฝั่งโน้น สู้ลูกสาวฝั่งตนไม่ได้ ทำให้แม่ของเด็กอายุ 13 ปี ไม่พอใจ ก่อเหตุทำร้ายลูกสาวของตนเอง ด้วยการจิกหัวแล้วลากไปกับพื้น จับหน้าโขกกับหัวเข่า แล้วยังใช้เท้าเหยียบหน้า ซึ่งหลังเกิดเหตุ ลูกสาวไม่ได้มาเล่าเรื่องราวให้ฟัง ก่อนจะเพิ่งจะมายอมรับกับแม่ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพราะฝั่งคู่กรณีส่งคลิปมาเยาะเย้ย พอตนรู้จากปากลูกสาว ก็รู้สึกโกรธมาก เพราะทำไมผู้ใหญ่ อายุกว่า 30 ปี ต้องมาทำลูกสาว ซึ่งอายุเพียง 14 ปี
ตนเองพยายามจะติดต่อฝั่งคู่กรณี แต่ก็ถูกฝั่งคู่กรณีบ่ายเบี่ยง จึงตัดสินใจนำคลิปหลักฐานไปแจ้งความไว้ที่ สภ.บางละมุง แต่หลังจากที่มีการแจ้งความ ฝ่ายคู่กรณีก็มีการติดต่อกลับมา ก่อนจะมีการนัดหมาย เพื่อออกไปเคลียร์ปัญหา พอมาถึงจุดหมายนัดหมาย ต่างฝ่ายก็ต่างพาพวกกันมาเยอะมาก จากนั้นก็มีการตกลงกันว่า ระหว่างตนเอง กับฝ่ายคู่กรณีซึ่งเป็นแม่ ของเด็กหญิง อายุ 13 ปี ขอตบกันตัวต่อตัว แต่ระหว่างที่ตบก็เกิดเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย ก็มีคนอื่นพยายามจะเข้ามายุ่ง จากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด โดยยืนยันว่า ผู้ชายของฝ่ายคู่กรณี สวมใส่เสื้อสีขาว สวมหมวกแก๊ป เป็นผู้ชักอาวุธปืนขึ้นมาจอยิงฝ่ายของตนก่อน
นางสาวกิ๊ฟ ( นามสมมุติ ) เล่าต่ออีกว่า ที่ผ่านมาตนเองไม่เคยรู้เลยว่าลูกสาวมีปัญหากับเพื่อน อายุ 13 ปี รายนี้มาก่อน ซึ่งฟังจากปากลูกสาว ทราบเพียงว่าต้นเหตุมาจากการเรื่องยืมเงินกัน เวลาทวงก็ชอบมีปัญหา พอปัญหาสะสมก็บานปลายมาในเรื่องของ นัดตบตี โดยที่แม่ไม่เคยรู้มาก่อน พอมารู้อีกที ลูกสาวคือน้องต้นหอม ถูกหลอกไปเคลียร์ปัญหา และถูกผู้ใหญ่ทำร้าย โดยมีคลิปในวันเกิดเหตุ เป็นหลักฐาน ส่วนเรื่องสามีใช้อาวุธ ยิงต่อสู้กับฝ่ายคู่กรณีนั้น โดยยืนยันว่าสามียิง เพื่อป้องกันตัว ส่วนที่พกปืนไป เพราะเข้าใจว่าฝ่ายนี้ต้องมีอาวุธปืนมาเหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะบานปลาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อยากให้ตำรวจให้ความเป็นธรรมกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย